ใครไม่เคยเจอปัญหาเลยยกมือขึ้น ไม่น่าจะมีนะ เพียงแต่จะมีปัญหามากหรือน้อยเท่านั้นเอง บางคนก็มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ที่ไม่ลงตัวกับคู่รัก เพื่อน คนในครอบครัว หรือมีปัญหาจากเศรษฐกิจที่บีบรัด ปัญหาจากการเรียนหนังสือ จากการทำงาน พอเกิดปัญหาก็เครียดกันไป ความจริงแล้วปัญหาเป็นเรื่องปกติของชีวิตมนุษย์ ตราบใดมีลมหายใจตราบนั้นต้องพบเจออุปสรรคมากมายตลอดเส้นทางชีวิต เราเลยไม่อยากให้ผู้อ่านเพ่งไปที่ปัญหา เดินถอยออกมา มองระยะไกล และหาทางออกโดยใช้ประสบการณ์ของเรา ไต่ถาม หรือปรึกษาคนอื่นก็อาจได้คำตอบมาเป็นทางเลือกให้เรา มากกว่าที่จะกอดปัญหานั้นไว้แนบชิด เพราะจะยิ่งบีบรัด ทำให้ลมหายใจเราแผ่วลง
มีคุณสมบัติของมนุษย์อยู่อย่างหนึ่งที่เราควรนำมาใช้ นั่นก็คือ “การปรับตัว” คนที่ปรับตัวต่อสถานการณ์ต่างๆ ได้ดี เรียกได้ว่า คนนั้นเป็นคนที่ยืดหยุ่นต่อชีวิต คนนี้เขาถือว่าปัญหาเดี๋ยวก็มา เดี๋ยวก็ไปเหมือนสายน้ำไหล ขืนคว้าไว้มาอยู่กับตัวก็มีอันจะทำให้ตัวเปียกปอนเปล่าๆ คนที่ยืดหยุ่นต่อทุกสิ่งเป็นกันอย่างไรน่ะเหรอ หลักๆ คือ เขาเป็นนักเรียนรู้ ทำให้ปรับตัว และรับมือกับสถานการณ์ยากลำบากได้อย่างดี แล้วก้าวข้ามผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่แช่กับปัญหา คนที่มีความยืดหยุ่นจะกลับมาเป็นคนที่ร่าเริงเหมือนเดิมเมื่อสถานการณ์ปัญหาผ่านไป แล้วเขาก็ใช้ชีวิตตามปกติ
ทุกคนฝึกเป็นคนยืดหยุ่นได้ทั้งนั้น อยู่ที่จะทำหรือไม่ และเรารักตัวเองมากพอหรือไม่ เรานำมาวิธีการฝึกมาฝาก มีด้วยกัน 4 ข้อด้วยกัน
1. มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง รับฟังผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง หรือ Deep Listening เชื่อเถอะว่าเราจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกคน เพราะการรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ช่วยให้คนนั้นคลายความอัดอั้นในใจ และพอได้พูดกับคนที่จริงใจจะฟัง เขาก็กล้าระบายออกไปถึงส่วนลึก ทำให้ใจโล่ง และมีแนวโน้มที่จะคิดหาทางออกที่ดีได้ ทำให้เราและเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
2. มีการจัดการอารมณ์อย่างเหมาะสม ไม่กดอารมณ์ต่างๆ ไว้ แต่ตามดูเหมือนเราเป็นผู้เฝ้ามอง เช่น โกรธ อย่าไปกดไม่ให้โกรธ เพียงแต่ต้องรู้ให้เร็ว แล้วหายใจเข้าออกลึกๆ ช้าๆ อาจปลีกตัวไปทำ Body Scan หรือสแกนร่างกายในที่เงียบสงบ นั่งตัวตรง มือวางบนต้นขา หายใจเข้าออกลึกๆ หลับตา และสำรวจร่างกายตัวเองตั้งแต่ศีรษะไล่ไปถึงเท้าอย่างช้าๆ อยู่กับลมหายใจเข้าออกลึกๆ ไปตลอดทางของการปฏิบัติ หากรู้สึกเศร้าก็ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเท่าที่ต้องการ คนยืดหยุ่นอ่อนแอได้ ไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งตลอดเวลานะ
3. มีความสามารถในการมองอนาคต อาจเดินไปตามสวนสาธารณะที่เงียบสงบ สายลมเอื่อยๆ พัดผ่าน มีเสียงนกร้องบรรเลงคลอเป็นเพื่อน แดดอ่อนรำไรส่องกระทบ มองให้ไกลออกไป แล้วมองย้อนมองกลับมา ณ จุดเดิมที่เราคิดว่ากำลังมีปัญหาหนัก เชื่อเถอะ ว่าพลังแห่งธรรมชาติที่โอบกอดเราไว้นั้น จะช่วยให้ปัญหาเล็กลง และทำให้เราเบาสบายขึ้น ขอให้มองในแง่บวกเข้าไว้ เพราะไม่วันที่ชีวิตใครจะแย่ได้ตลอดกาล พรุ่งนี้ย่อมดีกว่าวันนี้ หากเรามีความพยายาม และมีจังหวะที่เหมาะสม อย่าลืมหาเพื่อนคุยปรึกษา จะได้มองโลกกว้างขึ้น คิดจะหาทางออกอย่างไรจะได้ผิดพลาดน้อย
4. มีแรงใจในการผลักดันตัวเองให้เรียนรู้ เติบโต และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ แล้วจะหาแรงใจได้อย่างไรนะหรือ ให้หาจากคนรอบตัวที่เข้าใจเรา และเป็นคนมีวิสัยทัศน์ จะเป็นคู่รัก พ่อแม่พี่น้อง ลูกหลาน หรือญาติห่างๆ หรือ เพื่อน หรือสามารถหาแรงผลักดันจากการเรียนรู้ชีวิตของคนอื่น คนที่ผ่านความยากลำบาก และเติบโตมาได้อย่างเข้มแข็ง มองบนฟ้าเข้าไว้จะเห็นสายรุ้งงามหลังฝนโปรยปรายเสมอ
ขอให้ผู้อ่านใช้ชีวิตอย่างยืดหยุ่น ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เข้ามา โกรธเศร้า เหงา อ่อนแอ ร้องไห้ได้ แต่ขอให้ตามดูใจตัวเองให้ทัน รู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น แล้วให้มันจางหายไปในเมฆหมอก แล้วเราจะเป็นคนที่ฟื้นตัว ก้าวผ่านแต่ละเหตุการณ์อย่างคนที่แข็งแกร่งกว่าเดิมในทุกๆ วัน
อ้างอิงจากหนังสือ “ใจดีกับตัวเองบ้างก็ได้” โดยพ.ญ.ชญานิน ฟุ้งสถาพร (หมอจริง) จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น
Total Visit : 35821