back to top

แพทย์เตือนดื่มน้ำไม่สะอาด เสี่ยงท้องร่วง-อาเจียน ระยะยาวเสี่ยงโรคร้าย

หลายคนอาจคิดว่าน้ำใสๆ ที่ดื่มทุกวันคือความสะอาดและปลอดภัย แต่ความจริงแล้วอาจไม่เป็นเช่นนั้น เพราะในน้ำที่ดูใสสะอาด อาจมีเชื้อโรคหรือสารปนเปื้อนซ่อนอยู่โดยที่เราไม่รู้ตัว ข้อมูลจากกรมอนามัยปี 2565 พบว่า น้ำดื่มที่สุ่มตรวจทั่วประเทศกว่าครึ่งมีการปนเปื้อนโคลิฟอร์มแบคทีเรีย และมากกว่าหนึ่งในสามพบเชื้ออีโคไล (E. coli) ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าปัญหาคุณภาพน้ำยังคงน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะน้ำจากแหล่งที่คนส่วนใหญ่ใช้กันจริง เช่น น้ำบ่อ น้ำฝน หรือน้ำประปาบางพื้นที่ที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อหรือกรองอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่อาการตั้งแต่ท้องเสีย อาเจียน ไปจนถึงโรคร้ายแรงในระยะยาว

พญ.สาวินี จิริยะสิน แพทย์ผู้ชำนาญการโรคระบบทางเดินอาหาร ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลวิมุต อธิบายว่า น้ำดื่มที่ไม่สะอาดคือ น้ำที่มีการปนเปื้อนของเชื้อโรคหรือสารเคมีอันตราย ซึ่งพบได้ในทุกแหล่งน้ำ ไม่ว่าจะเป็นน้ำบรรจุขวด น้ำบ่อ น้ำฝน น้ำประปา หรือแม้แต่น้ำที่ผ่านเครื่องกรองไม่ได้มาตรฐาน หรือเก็บในภาชนะที่ไม่สะอาด หนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญคือการตรวจพบโคลิฟอร์มแบคทีเรีย ซึ่งเป็นกลุ่มแบคทีเรียที่พบในลำไส้ของคนและสัตว์เลือดอุ่น หากพบในน้ำดื่ม แสดงว่ามีโอกาสที่น้ำจะปนเปื้อนของเสียจากอุจจาระ และอาจมีเชื้อโรคชนิดอื่นปะปนอยู่ด้วย

ผลกระทบจากการดื่มน้ำไม่สะอาดอาจเกิดขึ้นได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ในระยะสั้น ผู้ดื่มอาจมีอาการท้องเสีย ท้องร่วง คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ หรือตาและผิวหนังเหลือง รวมถึงการติดเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสตับอักเสบเอและอี การติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น อหิวา ไทฟอยด์ หรือบิดไม่มีตัว และการติดเชื้อโปรโตซัวอย่างอะมีบา ส่วนผลกระทบในระยะยาวมักเกิดจากสารเคมีตกค้างในน้ำ เช่น ตะกั่ว สารหนู หรือสารเคมีตลอดกาล (PFAS) ที่สะสมในร่างกายเป็นเวลานาน จนอาจทำให้ตับและไตทำงานผิดปกติ เกิดภาวะไทรอยด์ทำงานผิดปกติ มีไขมันในเลือดสูง เสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น ลำไส้อักเสบเรื้อรัง และเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งไต มะเร็งเต้านม และมะเร็งอัณฑะ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ ซึ่งร่างกายจะต่อสู้กับเชื้อโรคได้ยากกว่า

สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่า ความใสของน้ำไม่ได้หมายความว่าน้ำจะปลอดภัยเสมอไป การเลือกแหล่งน้ำที่น่าเชื่อถือ เก็บในภาชนะที่สะอาดและปิดมิดชิด รวมถึงการฆ่าเชื้อด้วยการต้มน้ำให้เดือดอย่างน้อยหนึ่งนาที หรือใช้เครื่องกรองที่ได้มาตรฐาน เช่น ระบบ Reverse Osmosis (RO) หรือแสงอัลตราไวโอเลต (UV) จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม หากใช้น้ำดื่มบรรจุขวด ควรตรวจสอบวันผลิต วันหมดอายุ และฉลาก อย. อย่างเคร่งครัด และหลีกเลี่ยงการนำขวดพลาสติกมาใช้ซ้ำหลายครั้ง เพราะอาจเสื่อมสภาพและปล่อยสารเคมีออกมาในน้ำได้

พญ.สาวินี ทิ้งท้ายว่า “การเลือกน้ำดื่มที่สะอาดอาจดูเหมือนเรื่องเล็ก แต่แท้จริงแล้วเป็นรากฐานสำคัญของสุขภาพที่ดี เชื้อโรคหรือสารปนเปื้อนเพียงเล็กน้อยในน้ำ สามารถสะสมจนก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพในอนาคตได้ ดังนั้นจึงควรใส่ใจตั้งแต่การเลือกแหล่งน้ำไปจนถึงการฆ่าเชื้อทุกครั้งก่อนดื่ม เพื่อให้มั่นใจว่าน้ำทุกแก้วปลอดภัยอย่างแท้จริง