back to top

นวัตกรรมถุงทวารเทียมไทย ก้าวสำคัญสู่ระบบสาธารณสุขยั่งยืน

โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงพบมากเป็นอันดับ 1 ในเพศชาย และอันดับ 3 ในเพศหญิง และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อัตราเสียชีวิต เฉลี่ยวันละ 15 คน หรือปีละ 5,476 คน ผู้ป่วยใหม่ เฉลี่ยวันละ 44 คน หรือปีละ 15,939 คน (ข้อมูลจากกรมการแพทย์) 

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงเกิดจากอายุที่มากขึ้น พฤติกรรมการบริโภคอาหารและการดำเนินชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนแปลงไป และหากมีคนในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงยิ่งเพิ่มโอกาสให้มีความเสี่ยงสูงขึ้น ซึ่งในกระบวนการรักษานั้นบางรายต้องตัดลำไส้ และใส่ถุงทวารเทียมหน้าท้อง ซึ่งปัจจุบันบริษัทไทยผลิตได้เองแล้ว และได้ถูกเบิกจ่ายในระบบหลักประกันสุขภาพ (บัตรทอง) ช่วยประหยัดต้นทุน และลดการนำเข้า 

ถุงทวารเทียม

บริษัท โนวาเทค เฮลธ์แคร์ จำกัด บริษัทไทยซึ่งเป็นที่รู้จักในแวดวงเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์จากไหมเย็บแผล และวัสดุปิดแผลแบบ Advance สำหรับผู้ป่วยที่แผลหายยาก อาทิ ผู้ป่วยที่มีแผลกดทับ เบาหวาน ไฟไหม้ เป็นต้น ซึ่งทำตลาดมานานกว่า 24 ปี นอกจากตลาดในประเทศแล้วยังส่งออกไปใน 12 ประเทศทั่วโลก 

ภก.พีรวัฒน์ ทองคำ ผู้จัดการอาวุโส บริษัท โนวาเทค เฮลธ์แคร์ จำกัด เล่าถึงสเต็ปของบริษัทว่า เราผลิตถุงทวารเทียม 2 ชั้น ซึ่งได้บรรจุเป็นสิทธิประโยชน์แล้ว หมายถึงผู้ป่วยที่ต้องตัดลำไส้ และใส่ถุงทวารเทียมหน้าท้องใช้ถุงทวารเทียมที่ผลิตในประเทศจากเดิมต้องนำเข้าจากสหรัฐ เดนมาร์ก อังกฤษ 

ภก.พีรวัฒน์ ทองคำ

“จริงๆ ต้องถือว่าบริษัทไทยจะเข้ามาในตลาดเครื่องมือแพทย์ได้ยาก เนื่องจากบริษัทต่างชาติทำตลาดมาก่อน และเป็นความเชื่อมั่นของผู้ใช้ในการใช้ของต่างประเทศ แต่เนื่องจากคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพ (สปสช.) ได้ส่งเสริมนวัตกรรมของคนไทยที่มีคุณภาพ และราคาถูก เมื่อเราได้รับการขึ้นบัญชีนวัตกรรมไทย จึงได้รับการทดสอบและพิจารณาให้เข้าสู่ระบบการใช้งานกับผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง โดยปัจจุบันได้ป้อนถุงทวารเทียมเข้าระบบอยู่ราว 5-6 แสนชุดต่อปี 

นอกจากคุณภาพที่ไม่ด้อยไปกว่าสินค้านำเข้าแล้ว ราคายังถูกลงช่วยให้ประเทศประหยัดงบประมาณ จากก่อนหน้านี้ต้องซื้อขาย 200-300 บาทต่อชิ้น และจากการที่มีคู่แข่งไทยเข้ามาในตลาด ทำให้การแข่งขันสูง ส่งผลให้ราคาสินค้าในตลาดลดลงเหลือ 110 บาทต่อชิ้นไปด้วย 

สิ่งสำคัญของเราไม่ใช่ทีมขาย แต่เป็นทีมบริการหลังการขาย เพื่อให้คำแนะนำในการใช้งาน เนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์อาจจะยังคุ้นชินกับถุงทวารเทียมนำเข้า ขณะเดียวกันเราก็กำลังพัฒนาถุงทวารเทียมชั้นเดียว ซึ่งใช้ในงานที่ผู้ป่วยเพิ่งได้รับการผ่าตัดใหม่ๆ เพื่อให้แพทย์พยาบาลดูได้ง่ายขึ้น และนอกจากตลาดในประเทศแล้วเรากำลังทำตลาดต่างประเทศด้วย เพราะถือว่ามีฐานจากสินค้าอื่นๆ อย่างไหมเย็บแผล และวัสดุปิดแผลแบบ Advance ที่เข้าไปทำตลาดก่อนหน้านี้แล้วใน 12 ประเทศ

ภก.พีรวัฒน์ ระบุว่านวัตกรรมไทยควรได้รับการส่งเสริม เพราะผู้ประกอบการไทยมีความสามารถผลิตได้ทั้งสินค้ามีมาตรฐานสากล และราคาที่ไม่แพง แต่การถูกเลือกใช้ขึ้นกับบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งบางครั้งอาจจะเคยชินกับสินค้าเดิมที่เคยใช้งานอยู่ และเกิดแรงต่อต้านได้ ดังนั้นผู้ประกอบการต้องเข้าไปสร้างความคุ้นเคยตั้งแต่นักศึกษาแพทย์ โดยการบริจาคอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับการเรียน เป็นต้น

สำหรับตลาดถุงทวารเทียมในประเทศไทยนั้น มูลค่าตลาดกว่า 300 ล้านบาท มีบริษัทจากต่างประเทศเข้ามาทำตลาดก่อนแล้ว ดังนั้นการเข้ามาทำตลาดของบริษัทไทยจึงต้องใช้เวลาพอสมควรในการสร้างความเชื่อมั่น ขณะเดียวกันก็ต้องมีนโยบายรัฐบาลให้การสนับสนุนสินค้าไทยด้วย เช่น กรณีที่สปสช.ได้พยายามจัดซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยจากบัญชีนวัตกรรมไทย ซึ่งเป็นมาตรการที่สำคัญในการส่งเสริมและผลักดันงานวิจัยไปสู่เชิงพาณิชย์ และกระตุ้นผู้ประกอบการไทยให้ผลิตผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นนวัตกรรมสร้างมูลค่าเพิ่ม

ขณะเดียวกันก็ต้องกระตุ้นให้โรงพยาบาลต่างๆ เห็นความสำคัญในเรื่องนี้ไปด้วยกันในการส่งเสริมนวัตกรรมไทย ที่สำคัญคือบริษัทไทยที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม (SME) ต้องมีทีมขายที่แข็งแกร่ง ในส่วนของโนวาเทค ตอนนี้เราอาจจะไม่ได้เน้นการทำยอดขาย เพราะเข้าระบบของสปสช.ไปแล้ว แต่จะมุ่งไปที่แนะนำการใช้งานมากกว่า 

นอกจากนี้ผู้ประกอบการไทยต้องเข้าใจธุรกิจ ซึ่งตลาดสำคัญของเครื่องมือแพทย์และยาในประเทศไทยอยู่ที่กลุ่มผู้ที่ถือสิทธิบัตรทอง 70% ประกันสังคม 20% และราชการ 10% ดังนั้นการได้รับการบรรจุเข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจึงมีความสำคัญมาก ซึ่งนอกจากเราต้องมีนวัตกรรมแล้ว ต้องคุณภาพดี และราคาต้องไม่แพงด้วย นอกจากนี้ผู้ประกอบการไทยต้องเข้าใจการทำงานกับภาครัฐ โดยเฉพาะการเบิกจ่ายเงินที่ต้องใช้เวลา 4-6 เดือน ดังนั้นการกำหนดต้นทุนจะต้องพิจารณาปัจจัยที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และบริหารสภาพคล่องให้ดีผู้ประกอบการไทยจึงจะอยู่รอดได้ในระยะยาว