“ปวด แสบ ขัด เวลาปัสสาวะ” เป็นสัญญาณของ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (cystitis) ซึ่งเป็นภาวะที่เยื่อบุภายในกระเพาะปัสสาวะเกิดการอักเสบ มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะเชื้อ escherichia coli (E. coli) ที่พบได้บ่อยในระบบทางเดินอาหาร สามารถเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย แต่พบมากในผู้หญิง เนื่องจากท่อปัสสาวะสั้นและอยู่ใกล้ทวารหนัก ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะได้ง่าย ซึ่งปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เชื้อลุกลามไปยังไต ก่อให้เกิด การติดเชื้อในไต หรือ กรวยไตอักเสบ ซึ่งมีอาการรุนแรงและอันตรายมากขึ้น
ทั้งนี้สาเหตุหลักของกระเพาะปัสสาวะอักเสบ คือ การติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเชื้อจะเข้าสู่ท่อปัสสาวะและเดินทางไปยังกระเพาะปัสสาวะ สาเหตุรองลงมาอาจเกิดจากการระคายเคือง เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีความเป็นกรดหรือด่างสูง การสวนปัสสาวะ หรือการใส่สายสวนปัสสาวะเป็นเวลานาน บางรายอาจเกิดจาก โรคทางระบบภูมิคุ้มกัน หรือการใช้ยาเคมีบำบัดบางชนิดที่ส่งผลกระทบต่อเยื่อบุภายในกระเพาะปัสสาวะ
สำหรับกลุ่มคนที่เสี่ยงเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ประกอบด้วย
1. ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ เพราะโครงสร้างทางกายภาพ
2. สตรีตั้งครรภ์ จากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และแรงดันจากมดลูกที่กดท่อปัสสาวะ ซึ่งตั้งครรภ์ทำให้มดลูกขยายตัวและกดทับกระเพาะปัสสาวะ ส่งผลให้ปัสสาวะแช่ค้างและเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
3. ผู้สูงอายุ ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง
4. ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน นิ่วในไต ต่อมลูกหมากโต หรือการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
5. ผู้ที่ใส่สายสวนปัสสาวะเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดการระคายเคืองและเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะปัสสาวะ
6. การมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งสามารถผลักดันแบคทีเรียเข้าสู่ท่อปัสสาวะ โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีการใช้ยาฆ่าอสุจิหรือฝาครอบปากมดลูก ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
7. กลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน การกลั้นปัสสาวะ ทำให้เชื้อโรคมีเวลาสะสมและเจริญเติบโตในกระเพาะปัสสาวะมากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
8. ดื่มน้ำน้อย การดื่มน้ำน้อยทำให้ปัสสาวะเข้มข้น และลดการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ส่งผลให้แบคทีเรียสะสมในกระเพาะปัสสาวะได้ง่ายขึ้น
9. การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคือง การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรง เช่น สบู่ที่มีน้ำหอม หรือสเปรย์ดับกลิ่นบริเวณอวัยวะเพศ อาจทำให้เกิดการระคายเคืองและเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
จะรู้ได้อย่างไรว่าอาการแบบไหนเข้าข่ายกระเพาะปัสสาวะอักเสบ อาการที่พบบ่อยที่เราจะสังเกตได้ คือ ได้แก่
– ปวดแสบขัดเวลาปัสสาวะ
– ปัสสาวะบ่อย แต่ปริมาณน้อย
– ปวดท้องน้อยหรืออุ้งเชิงกราน
– ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น หรือขุ่น
– บางรายอาจมีไข้ต่ำ หรือปัสสาวะปนเลือด หากอาการรุนแรงขึ้น เช่น มีไข้สูง หนาวสั่น ปวดหลังหรือเอว อาจเป็นสัญญาณว่าเชื้อได้ลุกลามไปที่ไต ควรรีบพบแพทย์ทันที
สำหรับการรักษาหลักของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบจะเป็นการใช้ยาปฏิชีวนะตามการวินิจฉัยของแพทย์ โดยอาจใช้เวลารักษา 3-7 วัน ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อและความรุนแรง หากเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรัง อาจต้องตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจปัสสาวะเพาะเชื้อ หรือส่องกล้องกระเพาะปัสสาวะ
นอกจากการใช้ยา แนะนำให้ ดื่มน้ำให้มากขึ้น เพื่อขับเชื้อออกทางปัสสาวะ, หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่ระคายเคือง เช่น กาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์, ใช้แผ่นประคบร้อนบรรเทาอาการปวด, การรักษาที่เร็วและถูกวิธี จะช่วยป้องกันการลุกลามของเชื้อไปยังอวัยวะอื่น
วิธีป้องกันตัวเองให้ห่างไกลโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบง่ายๆ เลยคือ ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว, ไม่กลั้นปัสสาวะนานเกินไป, รักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศ, ปัสสาวะก่อนและหลังการมีเพศสัมพันธ์, เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน ไม่ระคายเคืองทั้งนี้หากมีอาการผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์
ข้อมูลจาก: ผศ. นพ.ชินเขต เกาสุวรรณ สาขาวิชาศัลยศาสตร์ระบบปัสสาวะ ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล