3 ปีมาแล้วที่ประเทศไทยปลดล็อคกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดเป็นชาติแรกในเอเชีย เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565 ในยุคสมัยที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นั่นหมายถึงประชาชนสามารถปลูก สูบ หรือใช้ส่วนต่างๆ ของต้นกัญชาโดยไม่ผิดกฎหมาย แต่การใช้สารสกัดกัญชาทีมี THC (Tetrahydrocannabinol) หรือ สารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เกิน 0.2% และผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากกัญชาที่นำเข้าจากต่างประเทศ ทั้งเครื่องสำอางหรืออาหาร ไม่สามารถทำได้ เพราะถือว่าเป็นยาเสพติด และห้ามไม่ให้จำหน่าย จ่าย แจกกัญชาให้แก่เด็กและเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 20 ปี รวมถึงผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ และผู้ที่กำลังให้นมบุตร ผู้ที่ฝ่าฝืนอาจมีความผิดตามกฎหมาย
การปลดล็อกดังกล่าว ทำให้มีร้านขายที่ได้รับใบอนุญาตจำนวน 17,867 ราย (ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา : กพย.2567) และมีร้านจำนวนมากที่ไม่มีใบอนุญาต และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สุขภาพจากกัญชาแล้วกว่า 2,200 รายการ
แม้จะมีการเปิดเสรีอย่างมีการควบคุม แต่ด้วยการอ่อนด้อยของการใช้กฎหมายและการกำกับดูแลทำให้มีการนำกัญชาไปใช้อย่างไรข้อจำกัดโดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน ตามรายงานฉบับล่าสุดของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติที่ เปิดเผยตัวเลขไว้ในปี 2567 ที่พบคนไทยติดกัญชา 1.5 ล้านคน และมีผู้เข้ารับการบำบัดติดกัญชาพุ่งสูงเป็นอันดับ 2 คือ 7,500 คน รองจากเมทแอมเฟตามีน หรือยาบ้า
ศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด (ศศก.) พบว่ามีการใช้กัญชาเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้มีอายุ 18-19 ปี โดยกลุ่มนี้สูบกัญชาเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า จาก 0.9% ในปี 2562 เป็น 9.7% ในปี 2565 และจากการสำรวจทัศนคติและพฤติกรรมการใช้สารเสพติดของประชากรไทยอายุ 18-65 ปี ในทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ พบว่า ความชุกของผู้ที่ใช้กัญชาเพื่อนันทนาการใน 12 เดือน ที่ผ่านมามีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะในปี 2565 มีสัดส่วนสูงถึง 24.9% เพิ่มขึ้นถึง 487% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่สัดส่วนของผู้ใช้กัญชาทางการแพทย์ แม้ว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังมีสัดส่วนเพียง 2.59% ในปี 2566
ดังนั้นเมื่อมาถึงยุครัฐมนตรีสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน จึงเข้มงวดในการใช้กัญชามากขึ้นโดยปรับกฎเกณฑ์ใหม่ มีการลงนามในประกาศกระทรวง สธ. เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2568 เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา สาระสำคัญ คือ “ช่อดอกกัญชา” ถูกกำหนดให้เป็น สมุนไพรควบคุม ที่อนุญาตให้จำหน่ายได้เฉพาะเพื่อการแพทย์เท่านั้น เพื่อเป็นเครื่องมือในการกำกับดูแลการใช้กัญชาอย่างเป็นระบบ

มีการกำหนดมาตรการควบคุม “ช่อดอกกัญชา” โดยผู้ป่วยต้องมีใบสั่งแพทย์ จึงจะสามารถเข้าถึงช่อดอกกัญชาได้ ส่วนร้านจำหน่ายต้องมีใบอนุญาต และจัดหากัญชาจากแหล่งปลูกที่ได้มาตรฐาน ห้ามจำหน่ายกัญชาผ่าน ออนไลน์ เครื่องขายอัตโนมัติ และโฆษณาเพื่อการค้า นั่นหมายถึงให้ร้านขายกัญชาจะต้องปรับรูปแบบเป็นคลินิกย่อยๆ นั่นเอง ต้องมีแพทย์ วิชาชีพที่กำหนด รวมถึงผู้ช่วยแพทย์ (บัดเทนเดอร์) ประจำร้าน มีการขึ้นทะเบียนและกำกับการให้บริการ จะขายช่อดอกได้จะต้องมีใบสั่งจ่ายแพทย์ ที่เรียกว่า ภ.ท.33 ซึ่งออกโดยผู้ประกอบวิชาชีพ 6 กลุ่ม ได้แก่ แพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ แพทย์แผนจีน เภสัชกร ทันตแพทย์ และหมอพื้นบ้าน อีก 1 กลุ่มเท่านั้น และการใช้กัญชาจะจำกัดอยู่ใน 5 กลุ่มอาการ ได้แก่ นอนไม่หลับ, ปวดเรื้อรังจากมะเร็ง, ไมเกรน, พาร์กินสัน และเบื่ออาหาร
พอมาถึงทิศทางของรัฐบาลใหม่นำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ทำให้มีการตั้งคำถามถึงนโยบายกัญชาจะเป็นอย่างไร จะกลับมาเป็นกัญชาเสรีใหม่ด้วยเหตุผลขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หรือ “เอาไว้ก่อน” เพราะถูกโจมตีหนักมาแล้วถึงผลกระทบของกัญชาเสรีต่อสุขภาพของเด็กเยาวชน
เรามาย้ำกันถึงผลกระทบและทิศทางที่ควรจะเป็นของนโยบายกัญชา ซึ่งจัดทำโดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขเผยแพร่เมื่อปี 2567 โดยรายงานข้อเสนอแนะให้ออกกฎกระทรวงในการนำพืชกัญชาเข้าอยู่ในการควบคุมตามกฎหมายยาเสพติด โดยให้ใช้กัญชาได้เฉพาะทางการแพทย์ เพื่อลดผลกระทบและต้นทุนทางสุขภาพที่เกิดจากการใช้กัญชา และเสนอให้จำกัดให้ใช้เฉพาะทางการแพทย์โดยการทำโซนนิ่ง การจำกัดใบอนุญาต และมาตรการกำกับดูแลร้านจำหน่ายและมาตรการลงโทษตามกฎหมาย
โดยปัจจุบันได้มีการร่างพระราชบัญญัติกัญชา กัญชง พ.ศ. …. อยู่ในขั้นตอนของรัฐสภา ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้า แต่หลายฝ่ายเห็นว่าควรจะมีกฎหมายในการกำกับดูแลที่เป็นองค์รวม ปิดช่องโหว่ของการบังคับใช้กฎหมาย และทำให้ประเด็นต่างๆมีความชัดเจน รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายที่จริงจัง
โดยเฉพาะประเด็นต่างๆ ดังนี้ 1. การปลูกและการใช้ในครัวเรือนทำได้แค่ไหน 2. การนำกัญชามาเป็นผสมในอาหารที่ขาดการตรวจสอบที่เข้มงวด เนื่องจากมีผู้ผลิตบางรายลักลอบผสมกัญชาลงในผลิตภัณฑ์เกินกว่ามาตรฐาน 3. การจำหน่ายช่อดอกและผลิตภัณฑ์จากกัญชา แม้ว่าจะมีกฎหมายกำหนดให้ช่อดอกกัญชาเป็นสมุนไพรควบคุม ห้ามจำหน่ายแก่เด็กและเยาวชน และห้ามสูบในร้านจำหน่าย หากไม่มีแพทย์แผนไทยและแผนปัจจุบันประจำการอยู่ในสถานที่จำหน่าย ซึ่งบางกรณีอาจมีค่า THC สูงกว่า 0.2 %ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย
4. การควบคุมตรวจสอบการใช้กัญชาซึ่งเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน เช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีหน้าที่ตรวจสอบการลักลอบ และสั่งระงับการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสาร THC เกินกว่า 0.2% ส่วนการกำกับดูแลสารสกัดกัญชาที่มีค่าTHC เกินกว่า 0.2% ซึ่งถือเป็นยาเสพติดเป็นบทบาทของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) หรือกรณีอนุญาตตั้งโรงเรือนปลูกกัญชาที่เป็นของสาธารณสุขจังหวัด แต่หากเกิดข้อร้องเรียนจากผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปลูกกัญชาเป็นหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในการเข้าไปดูแล จึงมีข้อเสนอให้มีการบูรณการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
แม้กัญชาจะเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่กัญชาก็มีผลกระทบต่อสุขภาพทั้งบวกและลบอย่างรุนแรงจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังในการดำเนินนโยบาย และต้องมีกลไกการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด
