29 กันยายนของทุกปีเป็นวันหัวใจโลก (World Heart Day) ถือว่าโรคนี้เป็นโรคที่คนไทยเป็นกันมาก เป็น 1 ใน 7 โรคไม่ติดต่อที่เป็นอีกสาเหตุของการเสียชีวิตในอันดับต้นๆ สำหรับสถิติการเสียชีวิตของคนไทยด้วยโรคหัวใจ ตั้งแต่ตุลาคม 2566 – กรกฎาคม 2567 มีจำนวน 33,261 คน และคาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี
โรคหัวใจและหลอดเลือด (Heart Disease) เป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของหัวใจ โดยผู้ป่วยโดยส่วนใหญ่มักไม่ทราบมาก่อนว่าตนเองมีภาวะของโรคหัวใจ และมักจะเริ่มรู้ตัวเมื่ออาการของโรคหัวใจเข้าสู่ระยะรุนแรง เช่น แน่นหน้าอกอย่างรุนแรง ปวดร้าวไปยังหัวไหล่ แขนหรือกรามด้านซ้าย รู้สึกจุกแน่นที่บริเวณกลางอกหรือลิ้นปี่ ซึ่ง ผู้ป่วยโรคหัวใจ เหล่านี้ควรได้รับการดูแลอย่างถูกต้องต่อเนื่อง ป้องกันไม่ให้อาการของโรครุนแรงมากขึ้นหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา

สำหรับอาการความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายของผู้ป่วยโรคหัวใจเมื่ออาการของโรคหัวใจเข้าสู่ระยะรุนแรงหรืออาการของโรคหัวใจกลับมากำเริบซ้ำ ได้แก่
1. อาการเจ็บแน่นบริเวณหน้าอกคล้ายกับมีบางอย่างมากดทับที่บริเวณทรวงอกเยื้องไปทางด้านซ้าย โดยผู้ป่วยมักมีอาการแน่นหน้าอกติดต่อกันนานเกิน 20 นาทีและ ผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคหัวใจ และหลอดเลือด บางรายอาจรู้สึกแน่นร้าวไปยังบริเวณอื่น เช่น หัวไหล่ แขน รู้สึกจุกแน่นที่บริเวณลิ้นปี่ คอ และกรามด้านซ้าย
2. หายใจเหนื่อยหอบ หายใจไม่ทั่วท้องโดยเฉพาะเมื่อต้องออกแรง
3. มีอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด คลื่นไส้ อาเจียน
4. มือเย็นเท้าเย็น เหงื่อไหลออกมากผิดปกติ
หากมีอาการบ่งชี้เกี่ยวกับโรคหัวใจที่ได้กล่าวมาข้างต้น สิ่งที่ควรทำทันที คือรีบนำผู้ป่วยเข้าพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างเร่งด่วน ส่วนกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงและผู้ป่วยโรคหัวใจที่ได้รับการรักษาด้วยการใช้ยา การผ่าตัดบอลลูนหัวใจและการทำบายพาสหัวใจมาแล้วนั้น ควรดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันไม่ให้อาการโรคหัวใจกำเริบหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา โดยผู้ป่วยโรคหัวใจที่ต้องรักษาตัวด้วยการใช้ยาจะต้องรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และเข้าพบแพทย์ทุกครั้งตามกำหนดนัดหมาย ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารอย่างเหมาะสม ผู้ป่วยโรคหัวใจควรจำกัดปริมาณอาหารที่มีแป้ง น้ำตาล ไขมันและเกลือสูง หันมารับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่, งดสูบบุหรี่ งดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน มีค่า BMI อยู่ในช่วง18.5 – 22.90, นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส พยายามไม่เครียดมากจนเกินไป, หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แนะนำสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง ครั้งละ 20-40 นาที เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับหัวใจ
ทั้งนี้ผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือดยังสามารถออกกำลังกายได้ตามปกติเหมือนคนทั่วไป แต่จะต้องเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย ไม่ควรออกกำลังกายหนักๆ หรือหักโหมเกินไปเพราะอาจส่งผลให้หัวใจทำงานหนัก ยกเว้นในกรณีของผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบอุดตันเฉียบพลัน ภาวะหัวใจโต หัวใจล้มเหลว ที่ไม่แนะนำให้ออกกำลังกายด้วยตนเองแต่จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของนักกายภาพบำบัดที่ดูแลเกี่ยวกับโรคหัวใจอย่างใกล้ชิดเท่านั้น
โรคหัวใจมีทั้งปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้และควบคุมได้ ที่ควบคุมไม่ได้ ได้แก่ เพศ โดยเพศชายมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือดได้มากกว่าเพศหญิง ยิ่งอายุเพิ่มมากขึ้นก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และพันธุกรรม หากคนในครอบครัวเคยมีประวัติเป็นโรคหัวใจ โรคหัวใจและหลอดเลือดมีโอกาสถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นได้ ขณะเดียวกันก็มีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่มาพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันด้วย ได้แก่ ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง, โรคเบาหวาน มีภาวะอ้วน, สูบบุหรี่ และไขมันในเลือดสูง, ไม่ออกกำลังกาย, รับประทานอาหารเค็มจัด
ดังนั้นเราสามารถลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ ด้วยการลดหวาน มัน เค็มด้วยการกินอาหาร ที่ดีต่อสุขภาพ บริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ไม่กินอาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ เสริมด้วยการ ลดเนือยนิ่ง ผ่านการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยอาทิตย์ละ 5 วันๆ ละ 30 นาที และงดสูบบุหรี่ งดดื่มแอลกอฮอล์
ข้อมูล : รศ. นพ.ทศพล ลิ้มพิจารณ์กิจ สาขาวิชาโรคหัวใจ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และกรมควบคุมโรค
