ทำไมเราถึงเห็นกันว่า มนุษย์หลายคนมักต้องการไม่พอ แม้ทำร้ายผู้อื่นเพื่อเอาของของผู้อื่นมาครอบครองตั้งแต่ระดับเล็กๆ ครัวเรือนไปจนถึงระดับโลก นักการเมืองหรือผู้ร่ำรวยจำนวนมากมีไม่พอเสียที และตั้งใจเบียดบังเอาผลประโยชน์เข้าตนเอง หรือใหญ่ไปกว่านั้นก็กรณีผู้นำประเทศข้างบ้านอย่างกัมพูชาที่ต้องการดินแดนจากไทยเท่าที่จะมากได้ โดยไม่สนใจว่าจะได้มาอย่างไร รวมถึงคนในอาณัติของเขาก็คิดเช่นนั้น รวมประเทศมหาอำนาจต่างๆ ที่ต้องการดินแดนจากประเทศเล็กๆ สงครามจึงเกิดขึ้นไม่เคยว่างเว้น
โธมัส ฮ็อบส์ นักคิดชาวอังกฤษ มีมุมมองเกี่ยวกับจริยธรรมของมนุษย์ และสิ่งที่เกิดขึ้นตามมา โดยมองว่าธรรมชาติของมนุษย์จะมีความต้องการไม่สิ้นสุด ไม่รู้จักพอ ได้อย่างยังต้องการอีกอย่าง เมื่อได้สิ่งใดมาก็จะไม่พอใจอยู่เพียงแค่นั้น ยังต้องหาหลักประกันของตนไว้สำหรับอนาคตด้วย
เมื่ออำนาจถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ดีต่างๆ เช่น ความร่ำรวย ชื่อเสียง มนุษย์จึงมุ่งแสวงหาอำนาจอย่างไม่รู้จบ จะยุติเมื่อตายเท่านั้น แต่เมื่อแต่ละคนต่างต้องการสิ่งเดียวกัน ย่อมจะเกิดความกลัวที่จะผิดหวัง รู้สึกไม่ปลอดภัย และกลายเป็นศัตรูกัน ตกอยู่ในภาวะอันตราย เกิดความไม่มั่นใจในตัวเอง และเกิดสงครามระหว่างกันจากการทะเลาะกันและการแข่งขันเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ จนทำให้ต้องรุกราน และใช้ความรุนแรงต่อกัน เพราะความจำเป็นที่ต้องป้องกันตัวเองให้ปลอดภัย
สภาวะก่อนมีประชาคมจึงเกิดการทำสงครามกันตลอดเวลา ทุกคนจะเป็นศัตรูกัน ไม่ไว้ใจกัน และขาดความปลอดภัย ตกอยู่ในสภาพความกลัวอย่างต่อเนื่อง และตกอยู่ในอันตรายของความเสี่ยงตายอย่างรุนแรง เป็นสภาพที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวตามลำพัง ยากแค้น เลวร้าย ทารุณเยี่ยงสัตว์และอายุสั้น จากการต่อสู้กันตลอดเวลานั่นเอง เพราะทุกคนมีสิทธิที่จะทำอะไรก็ได้ เป็นสิทธิตามธรรมชาติ เช่น เอาทุกอย่างมาเป็นของตนแม้แต่ชีวิตของผู้อื่น ขณะเดียวกันก็ตกอยู่ในอันตรายและความไม่ปลอดภัย
ฮ็อบส์ บอกว่าความต้องการที่ไม่รู้จักพอและการแสวงหาอำนาจ ทำให้มนุษย์เป็นคนเห็นแก่ตัวโดยธรรมชาติ แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว แต่ก็มีเหตุผลอยู่ด้วย เป็นเรื่องของการคิดถึงผลได้และผลเสียของการกระทำหนึ่ง โดยพิจารณาถึงผลลัพธ์ และหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นตามธรรมชาติแล้ว คนเรามีเหตุผลดีๆ อยู่ แต่กระนั้น ตัณหามักจะอยู่เหนือเหตุผลอยู่เสมอ
ในสภาวะธรรมชาติที่ไม่มีอำนาจบังคับของสังคมส่วนรวม จะเป็นสภาวะที่ไม่มีกฎหมาย ไม่มีหลักความยุติธรรม และไม่มีหลักศีลธรรมใดๆ รวมทั้งไม่มีมาตรฐานเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกผิด ควรไม่ควร เพราะไม่มีมาตรการควบคุมให้เป็นไปตามนั้นขึ้นมาได้ ทุกคนจึงมีสิทธิและเสรีภาพตามธรรมชาติอย่างเต็มที่ ทำอะไรก็ได้ตามความพอใจเพื่อคุ้มครองชีวิตของตนเอง มีอิสระเสรีที่จะทำอะไรก็ได้ตามที่ตนคิดหรือมีเหตุผลต่อการกระทำนั้นๆ โดยปราศจากการขัดขวางใดๆ จากภายนอก แม้แต่เป็นการกระทำต่อร่างกายของผู้อื่น เพื่อคุ้มครองตนเอง เพราะไม่มีสิ่งอื่นมาช่วยได้ จึงมีหลักเหตุผลอยู่ข้อหนึ่งว่าคนเราควรแสวงหาความสงบสุขให้มาก ถ้าไม่อาจทำได้ก็อาจใช้สงครามให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง จึงเกิดสภาพของการทำสงครามระหว่างกันนั่นเอง
แต่กระนั้นก็มีกฎธรรมชาติที่มนุษย์ผู้มีเหตุผล ยึดถือเป็นหลักปฏิบัติหรือเป็นข้อห้ามสำหรับตนเอง เพื่อจะมีชีวิตรอด ทั้งที่ไม่มีอำนาจบังคับผู้ฝ่าฝืน ได้แก่ 1.ทุกคนควรแสวงหาความสงบสุข และป้องกันตัวเองในทุกวิถีทาง 2.ต้องสละสิทธิตามธรรมชาติที่จะทำอะไรๆ ได้ทุกอย่าง แม้แต่การทำร้ายผู้อื่น และใช้เสรีภาพแต่พอสมควร ทั้งนี้เพื่อความสงบสุขและเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของตัวเอง เรียกว่า “จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่อยากให้เขาปฏิบัติต่อตัวเอง”
3. ต้องทำตามที่ได้ตกลงกันไว้ 4. ควรกตัญญูรู้คุณคน 5. พยายามทำตัวให้เข้ากับผู้อื่นได้ รู้จักให้อภัยต่อความขุ่นเคืองต่างๆ ในอดีต ละเว้นจากการแก้แค้น เพื่อความสงบสุขในอนาคต 6. ไม่ควรแสดงความเกลียดชังหรือดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น ไม่ว่าด้วยการกระทำใดๆ 7. ไม่ควรถือดี แต่ควรให้การยอมรับนับถือผู้อื่นในเรื่องความเท่าเทียมกันที่ได้มาโดยธรรมชาติ 8. สิ่งที่ไม่สามารถแบ่งปันกันได้ก็ควรจะใช้ร่วมกัน อาจใช้วิธีจับฉลากหรือให้สิทธิแก่ผู้ครอบครองคนแรก 9. คนกลางผู้ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งที่จะก่อให้เกิดความสงบสุข ควรได้รับความคุ้มครองความปลอดภัย ผู้มีส่วนได้เสียไม่ควรเป็นผู้ตัดสิน 10. ไม่ควรปฏิบัติต่อผู้อื่นในสิ่งที่จะไม่ทำกับตนเอง
10 กฎธรรมชาติเหล่านี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และจะมีอยู่ตลอดไป ซึ่งจะทำให้คนเราอยู่ร่วมกันโดยสงบสุข กฎเหล่านี้ส่วนหนึ่งจะกลายเป็นกฎหมายขึ้นมาก ส่วนที่ยังไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรก็ยังถือเป็นกฎธรรมชาติอยู่ เมื่อคนเราเข้ามาอยู่ในประชาคมเมือง เป็นสังคมขึ้นมาก็ยังมีเสรีภาพที่จะกระทำทุกอย่างยกเว้นที่กฎหมายได้ห้ามไว้
แล้วทำไมคนเราจึงยึดถือกฎหมายกันล่ะ ก็มนุษย์เป็นผู้เขียนขึ้นมาเอง เพราะต่างต้องการแสวงหาความสุขอันเป็นหนึ่งใน 10 กฎธรรมชาติ
ฮ็อบส์ บอกว่า คนเราเปรียบเสมือนอนุภาคต่างๆ ที่เคลื่อนที่และกระทบกันตลอดเวลา ทิศทางและความเข้มข้นของการเคลื่อนที่ขึ้นอยู่กับแรงหรือพลังที่เหนือกว่า แต่เนื่องจากการปกป้องตนเองเป็นเป้าหมายสูงสุดของมนุษย์ ซึ่งแสดงออกในรูปของการแสวงหาความสมานฉันท์ของสังคมโดยมีสถาบันมาทำหน้าที่รักษาความสงบสุขภายใต้จริยธรรมพื้นฐาน
วิธีสร้างและดำรงรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขของสังคม วิธีเบื้องต้นของฮ็อบส์ จึงอยู่ที่การเต็มใจทำสัญญาประชาคมที่แต่ละคนสละสิทธิอำนาจที่เคยมีอยู่ของตนให้กับองค์อธิปัตย์เป็นผู้ใช้อำนาจรวมแทนตน เพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัยของทุกคน จากนั้นกฎแห่งความประพฤติอื่นๆ ก็จะเกิดขึ้น เพราะตามธรรมชาตินั้นคนเราไม่มีสำนึกเรื่องความยุติธรรมหรือเห็นใจผู้อื่น เมื่อมีรัฐก็จะมีคุณธรรมต่างๆ ขึ้นมา เช่น การเข้ากับคนได้ ความกตัญญู ความเมตตาปราณี การเชื่อฟังผู้มีอำนาจ และการเคารพสิทธิที่เท่าเทียมกันของผู้อื่น เป็นต้น เหล่านี้จึงทำให้เกิดความสมานฉันท์ขึ้นมาได้
สรุปได้ว่ากฎที่ผูกพันบุคคลมี 2 อย่าง คือ การที่เราต้องเชื่อฟังกฎธรรมชาติก่อนมีรัฐ กับกฎของสังคมหลังจากมีรัฐ ซึ่งบังคับโดยมีบทลงโทษขององค์อธิปัตย์ ดังนั้นเอาเข้าจริงแล้ว เราต่างต้องการเชื่อฟังองค์อธิปัตย์ เพื่อหนีความตาย และแสวงหาความสงบสุข…มิใช่หรือ ดังนั้นการเคารพกฎของการอยู่ร่วมกัน จึงเป็นปัจจัยที่จะทำให้มนุษย์ปลอดภัย
อ้างอิงจาก : หนังสือ “คุณธรรม จริยธรรม กับศีลธรรมจากมุมมองของปรัชญา” โดย ศ.ดร.ทินพันธุ์ นาคะตะ