back to top

“หมดไฟไม่รู้ตัว” เมื่อความเป๊ะเกินไป กำลังทำร้ายสุขภาพใจคนทำงาน

ทุกวันนี้หลายคนแทบจะวิ่งชนกำแพงเพราะอยากทำงานให้เป๊ะที่สุด ทั้งงานประจำ งานโปรเจกต์ หรือแม้แต่การทำหน้าที่หัวหน้าทีม หลายครั้งเราเจอแรงกดดันทั้งจากเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน หรือแม้กระทั่งตัวเอง ที่ต้องรักษาภาพลักษณ์ว่าทุกอย่างต้อง “สมบูรณ์แบบ” จนบางครั้งเริ่มเหนื่อยล้าโดยไม่รู้ตัว ภาวะนี้เรียกว่า “กับดักความเป็นมืออาชีพ” (Professionalism Trap) ซึ่งถ้าปล่อยไว้นานๆ อาจทำให้เครียดสะสมและส่งผลต่อสุขภาพจิตในระยะยาว

พญ.นงนุช สัตกรพรพรหม จิตแพทย์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านจิตเวช ศูนย์สุขภาพใจ รพ.วิมุต อธิบายว่า กับดักความเป็นมืออาชีพในที่ทำงาน (Professionalism Trap) ไม่ใช่โรคทางกายภาพ แต่เป็นภาวะทางใจที่คล้ายกับโรคบุคลิกภาพย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive Compulsive Personality Disorder: OCPD) มักเกิดขึ้นกับคนที่ให้ความสำคัญกับความสมบูรณ์แบบ ความเป็นระเบียบ และความถูกต้องมากเกินไป รวมถึงผู้ที่ตั้งมาตรฐานกับตัวเองไว้สูง หรือเติบโตมาในครอบครัวที่เน้นความสมบูรณ์แบบ อีกทั้งอาจได้รับแรงกดดันจากสังคมที่ทำงานซึ่งมีการแข่งขันสูง ปัจจัยเหล่านี้เองที่ค่อยๆ พาเราเข้าไปติดกับดักโดยไม่รู้ตัว และรู้สึกว่าตัวเองต้อง “ดีที่สุด” ตลอดเวลา

แม้ภาวะ Professionalism Trap จะไม่ใช่โรคที่มีแบบวินิจฉัยชัดเจน แต่สามารถสังเกตได้จากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ได้แก่ 1) การไม่กล้าพูดคำว่า “ฉันทำไม่ได้” เพราะกลัวถูกมองว่าไร้ความสามารถ 2) การพยายามวางมาดเข้มแข็งตลอดเวลา เพราะเชื่อว่าความอ่อนแอคือความล้มเหลว 3) ยึดติดว่าทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบจนไม่ยอมรับข้อผิดพลาดใดๆ และ 4) รู้สึกว่าต้องควบคุมอารมณ์และภาพลักษณ์อยู่เสมอจนกลายเป็นภาระใจ หากพบว่ามีหลายข้อที่ตรงกับตัวเอง อาจถึงเวลาทบทวนว่าความเป็นมืออาชีพที่คุณรักษาไว้ กำลังช่วยสร้างคุณค่าหรือบั่นทอนสุขภาพใจอยู่กันแน่

สมองของมนุษย์ทำงานร่วมกันระหว่าง Prefrontal Cortex ซึ่งควบคุมเหตุผลและการยับยั้งชั่งใจ กับ Amygdala ซึ่งเกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความกลัว และความกังวล หากสมดุลระหว่างสองส่วนนี้ถูกรบกวน สมองจะตอบสนองต่อความผิดพลาดแรงเกินจริง จนรู้สึกว่าความล้มเหลวเล็กน้อยคือเรื่องใหญ่ ส่งผลให้สมองหลั่งสารกระตุ้นความตึงเครียดซ้ำๆ จนระบบควบคุมอารมณ์อ่อนแรงลง “ในระยะยาว ภาวะนี้อาจนำไปสู่โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล และภาวะหมดไฟ (Burnout) โดยเฉพาะอาชีพที่ต้องรับผิดชอบสูง เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ผู้บริหาร นักวิชาการ หรือศิลปิน ที่เผชิญแรงกดดันให้ต้องดีพอตลอดเวลา ดังนั้น หากใครที่พบว่าตัวเองกำลังเผชิญกับภาวะนี้อยู่ อยากให้เริ่มดูแลสุขภาพใจตัวเองทันที เพื่อป้องกันโรคทางจิตใจที่อาจตามมา” พญ.นงนุช สัตกรพรพรหม กล่าว

พญ.นงนุช สัตกรพรพรหม กล่าวว่า “กับดักความเป็นมืออาชีพนอกจากจะทำร้ายตัวเอง อาจส่งผลกระทบให้คนรอบข้างด้วยเช่นกัน แบบแรกคือการสร้างบรรยากาศความกดดัน เพราะผู้ที่ยึดติดกับความสมบูรณ์แบบมักคาดหวังว่าคนอื่นต้องมีมาตรฐานที่สูงเท่ากับตัวเอง ทำให้เพื่อนร่วมงานรู้สึกเครียด อึดอัด และเหมือนถูกจับตามองอยู่เสมอ อีกแบบคือการสร้างความหงุดหงิดรำคาญใจ เพราะการกลัวความผิดพลาดอาจทำให้เกิดนิสัยที่ละเอียดเกินจำเป็น เช่น การเช็กงานซ้ำๆ หรือถามคำถามเดิมซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งแม้จะทำไปด้วยเจตนาที่ดี แต่กลับสร้างความน่ารำคาญให้คนในทีมโดยไม่รู้ตัว”

การออกจากกับดักความเป็นมืออาชีพไม่ได้หมายถึงการลดมาตรฐานของตนเอง แต่คือการเรียนรู้ที่จะมีสมดุลระหว่างความรับผิดชอบกับความเมตตาต่อตัวเอง เริ่มจากการต้องเข้าใจว่าคุณค่าของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสำเร็จที่สมบูรณ์แบบเท่านั้น แต่ยังอยู่ที่ความพยายามและความตั้งใจด้วย ลองเปลี่ยนจากการตั้งเป้าหมายใหญ่ๆ ที่ไกลเกินเอื้อม มาเป็นการตั้งเป้าหมายที่เหมาะสมกับความสามารถ เพราะทุกความสำเร็จที่เกิดขึ้นระหว่างทางจะเป็นสิ่งที่ช่วยเติมเต็มและตอกย้ำว่าเรามีคุณค่าในทุกก้าวที่เดิน พญ.นงนุช สัตกรพรพรหม เล่าเสริมว่า “นอกจากการปรับความคิดแล้ว สิ่งที่คนทำงานควรทำควบคู่ไปด้วยคือการทำกิจกรรมผ่อนคลายความเครียด รวมถึงต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย และสร้างสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว (work–life balance) แต่ถ้ารู้สึกว่าความกดดันมันหนักจนรับไม่ไหว ก็อยากให้ลองเข้ามาพูดคุยกับจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา เพราะการมาขอคำปรึกษาไม่ได้หมายความว่าเราอ่อนแอ แต่เป็นการดูแลสุขภาพใจอย่างมืออาชีพเช่นกัน”

“การจะเป็นมืออาชีพที่มีความสุขย่อมทำได้ ตราบใดที่เรายอมรับว่าตัวเองเป็นมนุษย์ที่ทำผิดพลาดได้ เพราะความล้มเหลวมันไม่เคยฆ่าใคร มันเป็นแค่บทเรียนให้เราเติบโตขึ้น ความผิดพลาดไม่ได้ทำให้เราหมดความน่าชื่นชม คุณยังเป็นหัวหน้าที่ดี เป็นเพื่อนร่วมงานที่มีคุณค่า เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่สมบูรณ์ ทั้งในวันที่ทำอะไรสักอย่างสำเร็จหรือผิดพลาดก็ตาม” พญ.นงนุช สัตกรพรพรหม กล่าวทิ้งท้าย