back to top

ตั้งศูนย์ Mechanical Thrombectomy ทุกเขตสุขภาพ รักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ/อุดตันเฉียบพลัน

กรมการแพทย์พัฒนาระบบการรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันเฉียบพลันด้วยสายสวนหลอดเลือดสมอง ช่วยลดความพิการและลดอัตราการตายจากโรคหลอดเลือดสมอง ตั้งเป้ามีศูนย์ Mechanical Thrombectomy ทุกเขตสุขภาพ

ข้อมูลจากองค์การโรคหลอดเลือดสมองโลก พบว่า ทุก 1 นาที มีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองรายใหม่ 30 คน โดยเฉลี่ยผู้ใหญ่ 1 ใน 4 คนป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต สำหรับประเทศไทยข้อมูลจากระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข (HDC) ปี 2567 พบผู้ป่วยสะสมโรคหลอดเลือดสมองจำนวน 363,688 คน รายงานสถิติสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทยปี 2566 พบผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดในสมองจำนวน 37,947 คน

เนื่องในวันโรคหลอดเลือดสมอง 29 ตุลาคม จึงได้กำหนดธีมEvery Minute Counts: Let’s Act Together and #ActFAST for World Stroke Day ทุกนาทีมีค่า สังเกตไว ช่วยได้ทัน #ActFASTเพื่อรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการสังเกตสัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมองและเข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาวิธีการและระบบการรักษาผู้ป่วย

นพ.ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า หลายปีที่ผ่านมาสถาบันประสาทวิทยารักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันระยะเฉียบพลันด้วยสายสวนหลอดเลือดสมอง (endovascular thrombectomy) ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ลดความพิการของผู้ป่วยโดยตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2558 จนถึงปัจจุบันให้การรักษามากกว่า 1,100 ราย ซึ่งที่ผ่านมาได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้ไปยังโรงพยาบาลต่างๆ ในส่วนภูมิภาคแล้ว จึงได้ตั้งเป้าให้มีศูนย์Mechanical Thrombectomy ทุกเขตสุขภาพ พร้อมผลักดันการเบิกจ่าย UCEP (สิทธิการรักษาพยาบาลได้ทุกที่กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต : Universal Coverage for Emergency Patients) ได้เต็มจำนวน 

พญ.ทัศนีย์ ตันติฤทธิศักดิ์ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวเพิ่มเติมว่า การรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองด้วยสายสวนหลอดเลือดมีประสิทธิภาพสูงในการรักษา สามารถนำลิ่มเลือดออกได้สำเร็จถึง 80-90% การรักษามีความปลอดภัย มีผลข้างเคียงหรือภาวะแทรกซ้อนจากการรักษาน้อย พบภาวะแทรกซ้อนในการรักษาเรื่องเลือดออกในสมองเพียง 4.2% ซึ่งถือว่าการรักษาของสถาบันประสาทวิทยา ให้ผลการรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันระยะเฉียบพลันด้วยสายสวนหลอดเลือดมีประสิทธิภาพในด้านความสำเร็จในการนำลิ่มเลือดออกสูง ให้ผลการรักษาทางคลินิกที่ดี และมีความปลอดภัย สามารถลดความพิการและลดอัตราการตาย ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองได้อย่างชัดเจน นับเป็นความก้าวหน้าและความสำเร็จสูงในการรักษาโรคหลอดเลือดสมองของสถาบันประสาทวิทยาซึ่งให้ผลของการรักษาที่ดีไม่ด้อยไปกว่าการรักษาในต่างประเทศ

ทางด้าน นพ.สุทัศน์ โชตนะพันธ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคหลอดเลือดสมองเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดสมอง ทำให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาทอย่างเฉียบพลัน สามารถสังเกตอาการหรือสัญญาณเตือนได้ด้วยตนเองตามหลักการ B.E.F.A.S.T ดังนี้ B (Balance) เสียการทรงตัว วิงเวียน เดินเซ E (Eye) มองไม่เห็น มีอาการมองเห็นภาพซ้อน F (Face) ปากเบี้ยว หน้าเบี้ยวเฉียบพลัน A (Arms) อาการแขนขาอ่อนแรง หรือชาครึ่งซีก S (Speech) ผู้ป่วยจะมีอาการพูดไม่ชัด พูดอ้อแอ้ เหมือนลิ้นคับปาก T (Time) หากมีอาการโทร 1669 นำผู้ป่วยที่สงสัยส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดโดยเร็ว ภายใน 4 ชั่วโมง 30 นาที หากไปพบแพทย์ช้าอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต หรืออาจจะกลายเป็น อัมพฤกษ์ อัมพาต ทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้

ทั้งนี้ย้ำว่าโรคหลอดเลือดสมอง 90% สามารถป้องกัน โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด หวานจัด มันจัด เค็มจัด ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวันหรือสะสม 150 นาทีต่อสัปดาห์ ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม งดสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ควรตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ประชาชนที่มีโรคประจำตัวควรพบแพทย์และรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ

นพ.กฤษฎา หาญบรรเจิด ผู้อำนวยการกองโรคไม่ติดต่อ ย้ำว่า หากประชาชนมีความตระหนักรู้เรื่องโรคหลอดเลือดสมอง มีความระมัดระวังในการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน สังเกตอาการหรือสัญญาณเตือนของโรคและเข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็ว จะทำให้เพิ่มโอกาสรอดชีวิตและลดความพิการสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองสามารถดูแลตนเองด้วยการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และทำกายภาพบำบัดหรือออกกำลังกายเพื่อช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อและความยืดหยุ่น ลดปัญหาด้านการทรงตัวและการเดิน การกายภาพบำบัด 3 – 6 เดือนแรกจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการหมั่นฝึกฝน เพื่อให้ร่างกายกลับมาฟื้นฟู 

ทั้งนี้จะต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และนักกายภาพบำบัด โดยปรับให้เหมาะสมกับสภาวะร่างกาย ระดับการฟื้นตัวของแต่ละบุคคล หากอาการไม่มาก ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ทำกายภาพอย่างต่อเนื่องและถูกต้องก็จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ การเข้ารับการรักษา รับประทานยาอย่างต่อเนื่อง และปรับพฤติกรรมจะช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองซ้ำได้