back to top

สังเกตยังไงว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดธรรมดา โควิด-19 หรือ RSV

ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ฝนตกปรอยๆ ต่อเนื่องสลับแดดออก และลมพัดเย็นเป็นช่วงๆ โรคที่มากับอากาศแบบนี้คือไข้หวัด แต่ก็มีไข้หวัดหลายประเภทด้วยกัน ทั้งไข้หวัดธรรมดา (Common Cold) ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) โควิด-19 (COVID-19) ซึ่งมีอาการแตกต่างและบางส่วนคล้ายกัน

ไข้หวัดธรรมดา เกิดจากเชื้อไวรัสหลายชนิด ทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อซ้ำได้ง่ายและบ่อย แต่มีระดับอาการไม่รุนแรง จะมีไข้ต่ำ ปวดศีรษะ อ่อนเพลียเล็กน้อย ไม่ค่อยปวดเมื่อย ส่วนมากรักษาตามอาการ ซึ่งมักทุเลาลงใน 4-7 วัน แต่อาการไอและน้ำมูกอาจอยู่ได้นาน 10-14 วัน ไข้หวัดธรรมดารักษาด้วยการกินยาลดไข้ นอนพักผ่อน ดื่มน้ำอุ่นมากๆ

ไข้หวัดใหญ่ เกิดจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenzavirus) ชนิด A, B หรือ C โดยมีอาการเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เฉียบพลัน รุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา และมักมีไข้สูงเกิน 38-40 องศาเซลเซียส อาเจียน บางรายอาจมีท้องเสีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คัดจมูก น้ำมูกไหล และเจ็บคอในระยะหลัง ในรายที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือมีโรคประจำตัวควรรีบพบแพทย์ เพื่อรับยาต้านไวรัสภายใน 48 ชั่วโมงหลังเริ่มมีอาการ ซึ่งจะช่วยให้อาการของไข้หวัดใหญ่หายเร็วขึ้น กรณีไข้หวัดใหญ่จะมียาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ และสามารถฉีดวัคซีนป้องกันได้ทุกปี

โควิด-19 เกิดจากเชื้อไวรัสซาร์ส-โควี-2 (SARS-CoV-2) มีระดับความรุนแรงของอาการแตกต่างกันออกไปในแต่ละสายพันธุ์ คล้ายไข้หวัดใหญ่ แต่มีลักษณะเด่นคือ อาการไอแห้งแบบไม่มีน้ำลาย ไม่มีเสมหะ ไอต่อเนื่องและรุนแรงมากขึ้นในเวลากลางคืน และมักไอแบบเจ็บคอ สูญเสียการรับรสและกลิ่น ระดับความรุนแรงของอาการขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล โควิด-19 ยังต้องเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนในกลุ่มเสี่ยง และบางรายอาจมีอาการ Long Covid หลังจากหายแล้วร่วมด้วย

ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดแบบไหนก็ตาม การดูแลสุขภาพสำคัญ เพื่อป้องกันเป็นแนวทางที่ดีที่สุด ทั้งพักผ่อนให้เพียงพอ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน รับประทานอาหารที่มีวิตามินซี เสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ไม่ตากฝน หรือหากเปียกฝนควรรีบอาบน้ำ เป่าผมให้แห้งก่อนนอน สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในสถานที่สุ่มเสี่ยง ล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะก่อนทานอาหาร หลีกเลี่ยงการเอามือที่ไปจับสิ่งต่างๆ มาสัมผัสจมูก ตา และปาก

ขณะเดียวกันก็มี RSV ที่อาการเบื้องต้นคล้ายไข้หวัด RSV มาจากไวรัสชนิดมีเปลือกหุ้ม ชื่อเต็มว่า Respiratory Syncytial Virus มีสองสายพันธุ์คือ RSV-A และ RSV-B เป็นไวรัสก่อการติดเชื้อทางเดินหายใจในกลุ่มเด็กทั่วโลก โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และมีการระบาดเกือบทุกปี โดยพบว่าหลังรับเชื้อ RSV สามารถแสดงอาการได้เร็วที่สุดหลังติดเชื้อ 2 วัน ช้าที่สุดประมาณ 8 วัน ส่วนใหญ่เฉลี่ยอยู่ที่ 4-6 วัน ซึ่งอาการในช่วงแรกมักมีอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา เช่น ไข้ ไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล ผู้ใหญ่หรือเด็กโตที่แข็งแรงดีอาการมักไม่รุนแรงและหายได้เอง

แต่สำหรับเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ที่ติดเชื้อครั้งแรกพบ 20-30% ที่มีอาการโรคลุกลามไปทางเดินหายใจส่วนล่าง (หลอดลม เนื้อปอด) ทำให้เกิดหลอดลมใหญ่อักเสบ หลอดลมฝอยอักเสบ และปอดอักเสบตามมาได้ โดยมักแสดงอาการไข้สูง ไอแรง หอบเหนื่อย หายใจมีเสียงหวีดหวิว หรือเสียงครืดคราดในลำคอ โดยเฉพาะเด็กที่อายุน้อยกว่า 1-2 ปี เด็กที่ภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรง เด็กที่คลอดก่อนกำหนด หรือมีโรคหัวใจ โรคปอดเรื้อรัง บางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น หูอักเสบ ไซนัส หรือปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน ซึ่งจะมีอาการรุนแรงมากขึ้นได้

การรักษา RSV มีเพียงการรักษาตามอาการ เช่น การให้ยาลดไข้ แก้ไอ ละลายเสมหะ ในเด็กบางรายที่มีเสมหะเหนียวมาก ต้องทำการพ่นยาขยายหลอดลม หรือน้ำเกลือผ่านทางออกซิเจนละอองฝอย เคาะปอด และดูดเสมหะออก ยาปฏิชีวนะไม่มีประโยชน์ หากไม่มีเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน

ทั้งนี้ หากเป็นแค่อาการหวัดจากเชื้อ RSV ให้รักษาตามอาการที่บ้านได้ แต่หากผู้ป่วย โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก มีไข้สูง ไม่กิน ไม่เล่น หายใจเร็วกว่าปกติ หายใจมีเสียงหวีด หงุดหงิดง่าย หรือเซื่องซึม ผู้ปกครองควรพามาพบแพทย์เพื่อการรักษาที่เหมาะสมต่อไป อย่างไรก็ตามไม่มีความจำเป็นต้องตรวจทุกราย เพราะการตรวจพบหรือไม่พบเชื้อ RSV ไม่ได้เปลี่ยนแปลงการรักษา แต่ช่วยในการแยกผู้ป่วยเพื่อลดการแพร่กระจายโรค

RSV สามารถติดต่อผ่านการหายใจเอาละอองเสมหะของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ เช่น น้ำมูก น้ำลาย หรือสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่ง เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ลูกบิดประตู ของเล่น เป็นต้น เชื้อ RSV สามารถมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานหลายชั่วโมง และสามารถอยู่ที่มือของเราได้นานประมาณ 30 นาที

ดังนั้น ผู้ใหญ่ที่มีเด็กเล็กป่วยในบ้านควรล้างมือบ่อยๆ ก่อนสัมผัสเด็ก ทำความสะอาดบ้าน รวมทั้งของเล่นเด็กเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะทารกที่สูดดมควันบุหรี่มีความเสี่ยงติดเชื้อไวรัส RSV และพบอาการที่รุนแรงได้มากกว่า รับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ดื่มน้ำมากๆ และให้เด็กพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่อยู่ในห้องแอร์ตลอดเวลา เมื่อบุตรหลานมีอาการป่วยเป็นไข้หวัด ควรแยกเด็กออกจากเด็กปกติเพื่อเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อ

การป้องกันโรคไข้หวัดชนิดต่างๆ นั้น ไม่แตกต่างกัน สามารถทำได้ดังนี้

  1. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ทุกปี
  2. หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยไข้หวัด ถ้าตนเองเริ่มรู้สึกป่วย ให้หยุดอยู่บ้านเพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น
  3. ปิดจมูกและปากด้วยผ้าหรือกระดาษทิชชูเวลาไอหรือจาม ทิ้งกระดาษทิชชูที่ใช้แล้วลงถังขยะติดเชื้อ
  4. หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณดวงตา จมูก หรือปาก เพราะเชื้อสามารถติดต่อได้ตามช่องทางเหล่านี้
  5. ควรใส่หน้ากากอนามัย
  6. ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำสบู่ หากไม่มีให้ใช้แอลกอฮอล์เจล (Alcohol Gel) ซึ่งการล้างมือเป็นวิธีป้องกันที่ง่ายที่สุด ทั้งลดเชื้อ RSV และเชื้ออื่นๆ ที่ติดมากับมือทุกชนิด ทั้งเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ถึง 70%

สำหรับ 6 ขั้นตอนง่ายๆ ในการล้างมือ ให้ทำดังนี้

  1. ฟอกฝ่ามือและง่ามนิ้วมือด้านหน้า
  2. ฟอกหลังมือและง่ามนิ้วมือด้านหลัง
  3. ฟอกนิ้วมือและข้อนิ้วมือด้านหลัง
  4. ฟอกนิ้วหัวแม่มือทั้ง 2 ข้าง
  5. ฟอกปลายนิ้วมือทั้ง 2 ข้าง
  6. ฟอกรอบข้อมือทั้ง 2 ข้าง

ข้อมูล: คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล, องค์การเภสัชกรรม, สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย, โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์