นิ่วในถุงน้ำดี (Gallstones) โรคที่เกิดจากการตกตะกอนของสารประกอบต่างๆ ในน้ำดี เมื่อตกตะกอนก็จะทำให้เกิดนิ่วขึ้นที่ถุงน้ำดี ผู้ป่วยอาจมีอาการแน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ โดยเฉพาะเวลาทานอาหารประเภทไขมัน ซึ่งเกิดจากการตกผลึกของหินปูน (แคลเซียม) คอเลสเตอรอลและบิลิรูบิน (สารเคมีชนิดหนึ่งที่ให้สีเหลืองออกน้ำตาล เกิดจากการแตกตัวหรือการตายของเซลล์เม็ดเลือดแดงในหลอดเลือด) ที่มีอยู่ในน้ำดี
ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดการตกผลึกของสารเหล่านี้เชื่อว่าเกิดจากการติดเชื้อของทางเดินน้ำดี ความไม่สมดุลของส่วนประกอบคอเลสเตอรอลและบิลิรูบินในน้ำดี การตกผลึกของสารเหล่านี้อาจทำให้เกิดเป็นก้อนนิ่วเพียงก้อนเดียว หรือก้อนเล็กๆ หลายๆ ก้อนก็ได้
โรคนี้พบได้บ่อย มีอุบัติการณ์ทั่วโลกประมาณ 10–20% โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีปัจจัยเสี่ยงบางอย่างดังต่อไปนี้
1. อายุมากขึ้นจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากอายุ 40 ปี
2. ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะเกิดนิ่วในถุงน้ำดีมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างตั้งครรภ์หรือขณะใช้ฮอร์โมนบำบัด
3. เชื้อชาติและพันธุกรรม ประชากรบางกลุ่ม เช่น ชนพื้นเมืองอเมริกันและฮิสแปนิก มีความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีสูงกว่าคนทั่วไป
4. โรคอ้วน เบาหวานและการรับประทานอาหาร การมีน้ำหนักเกินและรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีสูงกว่าคนทั่วไป แต่ในขณะเดียวกันการลดน้ำหนักลงอย่างรวดเร็ว ทั้งจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การใช้ยาหรือผ่านการผ่าตัดลดน้ำหนัก (Bariatric surgery) ก็มีความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีสูงขึ้นเช่นเดียวกัน
5. ปัจจัยอื่นๆ เช่น การผ่าตัดกระเพาะอาหาร การใช้ยาบางชนิด การตั้งครรภ์ เป็นต้น

แม้ว่าคนจำนวนมากจะมีนิ่วในถุงน้ำดี แต่มีเพียงประมาณ 20–30% ของคนในกลุ่มนี้ เท่านั้นที่มีอาการหรือภาวะแทรกซ้อน คนส่วนใหญ่ไม่รู้ตนเองมีนิ่วในถุงน้ำดี เว้นแต่จะทำให้เกิดอาการปวดหรือตรวจพบโรคอื่นระหว่างการตรวจทางการแพทย์ เพราะในถุงน้ำดีอาจไม่แสดงอาการในบางราย แต่หากมีอาการ มักเป็นผลจากการอุดตันของท่อน้ำดีหรือการอักเสบในถุงน้ำดี โดยอาการระยะแรก จะท้องเฟ้อบริเวณเหนือสะดือ เรอ คลื่นไส้อาเจียน คล้ายอาการของอาหารไม่ย่อย ซึ่งมักเป็นหลังกินอาหารมันๆ ในรายที่ก้อนนิ่วเคลื่อนไปอุดในท่อส่งน้ำดี จะมีอาการปวดบิดรุนแรงเป็นพักๆ ตรงบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา ซึ่งอาจปวดร้าวมาที่ไหล่ขวาหรือบริเวณหลังตรงใต้สะบักขวา มักปวดนานเป็นชั่วโมงๆ และมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย หากอาการรุนแรงจะปวดรุนแรงจนเหงื่อออก เป็นลม ปวดท้องกินอาหารมันหรือกินอาหารมื้อหนัก มีอาการดีซ่าน (ตาเหลือง) เกิดขึ้นตามหลังอาการปวดท้อง
ผู้ป่วยที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี แม้จะไม่แสดงอาการ อาจตรวจพบตอนไปตรวจรักษาโรคอื่น แพทย์จะแนะนำให้รับการผ่าตัด เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ อาจมีการอักเสบและมีโรคแทรกซ้อนตามมาก็ได้ ที่สำคัญโรคนี้ป้องกันได้ด้วยการ “ลดกินอาหารที่มีไขมัน และการออกกำลังกายเป็นประจำ” ดังนั้นการป้องกันทำได้โดยการปรับพฤติกรรมการกิน ลดน้ำหนัก และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และไม่ลืมตรวจสุขภาพเป็นประจำจะช่วยให้ตรวจพบความผิดปกติได้ไวขึ้น แม้ไม่มีอาการใดๆ หากมีปัจจัยเสี่ยง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการป้องกันและรักษาอย่างถูกต้อง

ข้อมูลจาก รศ. นพ.วิทย์ วิเศษสินธุ์ สาขาวิชาศัลยศาสตร์ระบบปัสสาวะ ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล, ผศ. นพ. ณัฐภัทร ตั้งตรงจิตร สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
