“โรคหัวใจและหลอดเลือด” เป็นสาเหตุการเสียชีวิตลำดับต้นๆ ของประเทศไทย ข้อมูล THAI ACS REGISTRY ปี 2567 พบว่ามีผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (STEMI)จำนวน 9,701 ราย และมีอัตราการเสียชีวิตในโรงพยาบาล 9.07% โดยพบว่าผู้ป่วยมาโรงพยาบาลล่าช้าเกินกว่ากำหนด
ดังนั้น เพื่อ ลดอัตราการตายของกล้ามเนื้อหัวใจและลดอัตราการเสียชีวิต ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์อย่างเร็วที่สุด ภายในระยะเวลาที่เรียกว่า นาทีทอง (Golden period) 120 นาที หรือประมาณ 2 ชั่วโมง นับตั้งแต่เริ่มมีอาการ
นพ.ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศ อาการของโรคนี้อาจแตกต่างกันไปตามสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล เช่น เจ็บหน้าอก จุกแน่นกลางอกหรือลิ้นปี่ เจ็บร้าวไปหัวไหล่ด้านซ้าย หรือกราม ใจสั่น เหงื่อแตก เป็นลม หมดสติ เป็นต้น ซึ่งอาการเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม
ทั้งนี้ การเสียชีวิตส่วนใหญ่มักมีปัจจัยเสี่ยงจาก ระดับความดันโลหิตสูง ระดับไขมันในเลือดสูง ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ภาวะอ้วนและน้ำหนักเกิน การสูบบุหรี่ อายุที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงมลพิษฝุ่น PM2.5 ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
เพื่อลดอัตราการตายของกล้ามเนื้อหัวใจ หากพบอาการที่เข้ากับโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือมีคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติชนิด ST elevation (STEMI) ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์อย่างเร็วที่สุด เพื่อเปิดหลอดเลือดหัวใจด้วยการให้ ยาละลายลิ่มเลือด หรือการ ขยายหลอดเลือดหัวใจผ่านทางสายสวน ภายในระยะเวลา 120 นาที หรือประมาณ 2 ชั่วโมง นับตั้งแต่เริ่มมีอาการ

นพ.เอนก กนกศิลป์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้ประชาชนทุกกลุ่มตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพหัวใจ โดยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดด้วยการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมสุขภาพ 8 ประการ ดังนี้
- บริโภคอาหารไขมันต่ำและอาหารที่มีกากใย
- พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงความเครียด
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- รักษาระดับความดันโลหิตให้เหมาะสม และลดการบริโภคเค็ม
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- หมั่นตรวจสุขภาพประจำปี
- งดสูบบุหรี่
