back to top

น้ำตาลแฝง-ความเครียด สองภัยเงียบกระตุ้น “โรคเบาหวาน”

ความเชื่อที่ว่าถ้า “ไม่ติดหวาน” ก็ไม่เสี่ยง “โรคเบาหวาน” นั้นอาจไม่เป็นความจริงเสมอไป เพราะถึงเราไม่กิน “น้ำตาล” โดยตรง ก็ยังได้รับ “น้ำตาลแฝง” ที่อยู่ในอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ทั้งข้าว ขนมปัง หรือผลไม้บางชนิด ที่สามารถเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้เช่นกัน ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่าคนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวานสะสมกว่า 6.5 ล้านคน และมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นปีละกว่า 350,000 คน ที่น่ากังวลคือกว่า 40% ไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นโรคเบาหวาน จนทำให้กว่าจะรู้ตัวก็มีอาการรุนแรงและเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ยากต่อการรักษา

นพ.ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล อายุรแพทย์ผู้ชำนาญการโรคเบาหวานและต่อมไร้ท่อ ศูนย์เบาหวาน ต่อมไร้ท่อ และควบคุมน้ำหนัก โรงพยาบาลวิมุต อธิบายว่า โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus หรือ DM) คือภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติเป็นเวลานาน เนื่องจากความผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ซึ่งทำหน้าที่นำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงาน เมื่อร่างกายหลั่งอินซูลินไม่เพียงพอ น้ำตาลจึงค้างอยู่ในเลือดมากเกินไปจนส่งผลเสียต่อร่างกาย โรคเบาหวานแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ เบาหวานชนิดที่ 1 ซึ่งเกิดจากภูมิคุ้มกันในร่างกายทำลายเซลล์ที่สร้างอินซูลินในตับอ่อน ทำให้ต้องใช้อินซูลินทดแทนตลอดชีวิต เบาหวานชนิดที่ 2 เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากการดื้อต่ออินซูลิน มักเกี่ยวข้องกับน้ำหนักเกิน พฤติกรรมการกิน และความเครียด ส่วนชนิดที่เกิดในหญิงตั้งครรภ์ จะเป็นภาวะชั่วคราวในช่วงตั้งครรภ์ และยังมีกลุ่มเบาหวานชนิดอื่นๆ ที่เกิดจากสาเหตุเฉพาะ เช่น ความผิดปกติทางพันธุกรรม การใช้ยาบางชนิด (เช่น สเตียรอยด์) หรือโรคของตับอ่อน

การกินของหวานไม่ใช่ปัจจัยกระตุ้นโรคเบาหวานเพียงอย่างเดียว เพราะน้ำตาลแฝงจากการย่อยคาร์โบไฮเดรตก็มีส่วน เช่น ข้าวขาว น้ำผลไม้ หรือผลไม้สุกจัดที่มีรสหวานอย่างมะม่วงและกล้วย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ พ่อแม่เป็นเบาหวาน ภาวะอ้วน กินอาหารไม่สมดุล ไม่ออกกำลังกาย พักผ่อนไม่เพียงพอ และความเครียด

ซึ่งความเครียดถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ แม้ในวันที่เราไม่ได้แตะของหวาน เพราะเมื่อร่างกายเครียด สมองจะกระตุ้นให้ต่อมหมวกไตหลั่ง “ฮอร์โมนความเครียด” เช่น คอร์ติซอล (Cortisol) และอะดรีนาลีน (Adrenaline) ออกมา เพื่อสั่งให้ตับปล่อยน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานพร้อมรับมือกับสถานการณ์นั้นๆ แต่หากเกิดความเครียดสะสม ระดับคอร์ติซอลที่สูงอย่างต่อเนื่องจะทำให้ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน และอาจนำไปสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้

“ความเครียดยังทำให้เกิดพฤติกรรมกินคลายเครียด โดยเฉพาะการโหยหาของหวานหรือของมัน ซึ่งอาจนำไปสู่วงจร “เครียด–กิน–น้ำตาลขึ้น–เครียดซ้ำ” ทำให้การควบคุมน้ำตาลในเลือดยากขึ้นและส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวม การจัดการความเครียดจึงเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันและควบคุมโรคเบาหวาน”นพ. ชาญวัฒน์ อธิบาย

หากมีอาการปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย เหนื่อยง่าย น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ แผลหายช้า มองเห็นภาพเบลอ ง่วงบ่อย หรือมีปัญหาสมาธิสั้นลง ควรรีบไปตรวจคัดกรองโรคเบาหวาน นอกจากนี้ผู้ที่มีพ่อแม่เป็นเบาหวาน อายุเกิน 35 ปี มีภาวะเครียดเรื้อรัง นอนน้อย หรือดื่มน้ำหวานเป็นประจำ ก็ควรเข้ารับการตรวจเช่นกัน

วิธีตรวจโรคเบาหวานที่นิยมคือการตรวจค่าน้ำตาลสะสม (HbA1c) ซึ่งสะท้อนระดับน้ำตาลเฉลี่ยในร่างกายช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา หรือการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (FPG) แม้โรคเบาหวานจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถดูแลและควบคุมให้อยู่ในระดับปลอดภัยได้ หากตรวจพบเร็วและปรับพฤติกรรมอย่างจริงจัง เช่น ลดน้ำหนัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม ก็สามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้กลับมาใกล้เคียงปกติ หรือเข้าสู่ภาวะโรคสงบ (Remission) ได้

การป้องกันโรคเบาหวานเริ่มต้นได้จากเรื่องง่ายๆ เช่น การปรับการกิน ลดข้าวขาว ขนม และเครื่องดื่มรสหวาน ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ ควบคุมน้ำหนักและรอบเอวให้เหมาะสม เพราะไขมันหน้าท้องสัมพันธ์โดยตรงกับภาวะดื้ออินซูลิน รวมถึงดูแลจิตใจด้วยการนอนหลับให้เพียงพอ 6–7 ชั่วโมง และผ่อนคลายด้วยกิจกรรมที่ชอบ เมื่อร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะลดลง ทำให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้นและช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดให้คงที่ในระยะยาว ที่สำคัญควรตรวจคัดกรองสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ

นพ.ชาญวัฒน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “หลายคนเข้าใจว่าถ้าไม่อยากเป็นเบาหวานก็ต้องไม่กินของหวาน แต่ความจริงแล้วโรคเบาหวานมักมาจากวิถีชีวิตที่ไม่สมดุลมากกว่า อยากให้ทุกคนกลับมาสร้างความพอดีให้ร่างกาย ตรวจสุขภาพทุกปี กินและออกกำลังกายให้พอดี รู้เท่าทันความเครียดและหาวิธีผ่อนคลาย ก็จะทำให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรงและผลิตอินซูลินได้อย่างเต็มที่ ถ้าทำแบบนี้แล้วเราก็สามารถให้รางวัลตัวเองด้วยของหวานบ้างเป็นครั้งคราว แบบที่ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป”