เอส แอล อี (SLE : system lupus erythematosus) หรือ โรคลูปัส หรือ โรคพุ่มพวง จัดอยู่ในกลุ่มโรคแพ้ภูมิตัวเอง เป็นโรคซึ่งเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน มีการต่อต้านเนื้อเยื่อและเซลล์ในระบบอวัยวะต่างๆ ของตนเองแทนที่จะต่อต้านหรือทำลายสิ่งแปลกปลอมจากภายนอกร่างกาย
พบได้ในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และพบบ่อยในช่วงวัยเจริญพันธุ์ 20-50 ปี สำหรับสาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด คาดว่าเกิดจากปัจจัยทางกรรมพันธุ์ ร่วมกับการกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อม เช่นแสงแดด, ยา, การติดเชื้อ ฯลฯ
ทั้งนี้ผู้ป่วยโรคนี้มีอาการได้หลายระบบ แต่ละระบบอาจจะมีความรุนแรงน้อยจนถึงชีวิต ได้แก่
1. อาการทั่วไป เช่น ไข้อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว
2. อาการทางผิวหนัง มักจะมีผื่นแดงบริเวณใบหน้า บริเวณสันจมูก และโหนกแก้ม 2 ข้าง เป็นรูปคล้ายผีเสื้อ หรือมีผื่นขึ้นเป็นวง แผลเป็นตามใบหน้า หนังศีรษะ หรือบริเวณใบหู หรือมีแผลบริเวณเพดานปาก ซึ่งมักจะไม่เจ็บ บางรายอาจมีผมร่วงมากขึ้น
3. อาการทางข้อมือ มักจะมีอาการอักเสบปวดบวมตามข้อบริเวณข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อไหล่ข้อเข่าหรือข้อเท้า
4. อาการทางไต ผู้ป่วยจะมีอาการไตอักเสบ โดยจะมีอาการบวมบริเวณเท้าและขา 2 ข้าง บวมบริเวณหน้าและหนังตา ปัสสาวะเป็นฟอง มีโปรตีนในปัสสาวะ ถ้าอาการรุนแรงขึ้นจะมีความดันโลหิตสูงขึ้น ปัสสาวะออกน้อยลง ไตวายเฉียบพลัน
5. อาการทางระบบเลือด มีอาการซีด อ่อนเพลียจากโลหิตจาง ติดเชื้อโรคได้ง่าย มีเม็ดเลือดขาวต่ำ มีจุดจ้ำเลือด เลือดออกผิดปกติจากที่มีเกล็ดเลือดต่ำ
6. อาการทางระบบประสาท มีอาการชัก พูดไม่รู้เรื่อง ปวดศีรษะแขนขาอ่อนแรง อาการทางระบบหัวใจและปอด มีอาการเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบเยื่อหุ้มปวดอักเสบ แน่นหน้าอก ไอเป็นเลือด หอบเหนื่อย
7. อาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น ปวดท้อง ตับอักเสบ
ทั้งนี้ผู้ป่วยแต่ละราย ไม่จำเป็นต้องมีอาการครบทุกระบบ หรือมีอาการรุนแรงเสมอไป โดยทั่วไปมักมีอาการรุนแรงในช่วง 2-3 ปีแรก หลังจากนั้นโรคจะเริ่มสงบ แต่จะมีอาการกำเริบเป็นครั้งๆ ได้ โรคนี้มีอาการได้หลากหลายข้างต้น ทำให้บางครั้งเหมือนกับโรคต่างๆ ดังนั้นจำเป็นต้องมีการตรวจทางห้องปฏิบัติ และตรวจจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อยืนยันการวินิจฉัย
สำหรับการดูแลตัวเองหากเป็นโรคเอสแอลอี ได้แก่
1. หลีกเลี่ยงแสงแดดช่วง 10.00-16.00 น. ถ้าจำเป็นให้กางร่มหรือสวมเสื้อแขนยาวและใช้ยาทากันแดด
2. พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ปล่อยวาง ไม่เครียด ทำใจยอมรับกับโรคและปัญหาที่เกิดขึ้น ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
3. รับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารเค็มหวานมันจัด
4. ป้องกันการตั้งครรภ์ขณะโรคยังไม่สงบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกำลังได้รับยากดภูมิ แต่ไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิดซึ่งมีเอสโตรเจน เพราะอาจทำให้โรคกำเริบได้ และไม่ควรใช้วิธีใส่ห่วง เพราะมีโอกาสติดเชื้อได้สูงกว่าคนปกติ เมื่อโรคสงบตั้งครรภ์ได้ แต่ต้องปรึกษาแพทย์ และขณะตั้งครรภ์ต้องมารับการตรวจอย่างใกล้ชิด เพราะโรคอาจกำเริบขณะตั้งครรภ์ได้
5. หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด คนหนาแน่น อากาศไม่บริสุทธิ์ และไม่เข้าใกล้ผู้ที่กำลังเป็นโรคติดเชื้อ เช่น ไข้หวัด
6. ระวังการอักเสบติดเชื้อตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ให้หมั่นตรวจสม่ำเสมอ โดยเฉพาะสุขภาพฟัน ผิวหนัง พยาธิในอุจจาระ เชื้อราตามซอกเล็บมือ เล็บเท้า
7. ถ้ามีลักษณะที่บ่งชี้ว่ามีการติดเชื้อ เช่น ฝีตุ่มหนองตามผิวหนัง ไอเสมหะเหลืองเขียว ปัสสาวะแสบขัดให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที
8. ถ้ามีอาการผิดปกติที่เป็นอาการของโรคกำเริบ เช่น ไข้อ่อนเพลีย บวม ผมร่วง ปวดข้อ ให้รีบมาพบแพทย์
9. ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมไม่ให้โรคกำเริบ โดยผู้ป่วยควรรับประทานยาสม่ำเสมอ ไม่ควรหยุดยา ลดยา หรือซื้อยารับประทานเอง เนื่องจากการรับประทานยากดภูมิอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ควรล้างมือเป็นประจำ สวมใส่หน้ากากในที่แออัด รับประทานอาหารปรุงสุก สะอาด พบแพทย์สม่ำเสมอ
โรคเอสแอลอีเป็นโรคที่ยังไม่พบวิธีรักษาให้หายขาด แต่การปฏิบัติตัวที่ดีของผู้ป่วย และการให้ความร่วมมือกับแพทย์ผู้รักษา จะสามารถควบคุมมิให้โรคกำเริบและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเหมือนคนปกติได้
ที่มา: อ.พญ.วรรณงาม กิจธนามงคลชัย ฝ่ายวิจัย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ
