เมื่อพฤติกรรมการใช้ชีวิตมีผลต่อสุขภาพเกินคาด เราจำเป็นต้องตื่นรู้ เพื่อหาทางป้องกันก่อนที่จะต้องกินยาไปตลอดชีวิต โดยเฉพาะโรคความดันโลหิตสูง หนึ่งในโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs ที่คนไทยเป็นกันมาก ซึ่งจริงๆ แล้วโรคนี้ป้องกันได้
ในหลักสูตรประชาชนรอบรู้สุขภาพห่างไกล NCDs โดย นพ.อัครวัฒน์ เพียวพงภควัต ผู้อำนวยการกองส่งเสริมความรอบรู้และสื่อสารสุขภาพ กรมอนามัย ได้ออกมาให้ความรู้ประชาชนว่า มีคนไทยป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูง 10 ล้านคนซึ่งต้องรับยาแล้ว ขณะเดียวกันก็มีมากกว่า 20 ล้านที่ตกอยู่ในภาวะเสี่ยง
ทั้งนี้ความดันโลหิตสูง หากวัดแล้วเกิน 120/80 ถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง ต้องเข้าสู่กระบวนการลดความดันโลหิต แต่ทุกคนล้วนไม่อยากกินยา ปฏิเสธยา เพราะเชื่อว่าจะต้องกินยาไปตลอดชีวิต แล้วก็เชื่อว่าหากความดันโลหิตสูงแล้วนั่งพัก 15-30 นาที แล้ววัดซ้ำแล้วต่ำกว่าเดิมอาจเหลือ 120/80 ก็ถือว่าไม่เป็นอะไร และปล่อยผ่านไป แต่ นพ.อัครวัฒน์ ย้ำหนักแน่นว่า “หากวัดครั้งแรกและสูงกว่า120/80 ก็อยู่ในข่ายต้องระวังแล้ว”
อย่างไรก็ตามมีวิธีปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตซึ่งเป็นทางเลือกสำคัญที่จะช่วยลดความดันโลหิต ซึ่งมี 5 วิธีด้วยกัน หมายความว่าหากทำ 5 วิธีนี้จะช่วยให้ผู้ที่ต้องรับยาสามารถลดการกินยาได้ หรือหากยังปกติก็ช่วยป้องกันโรคโลหิตสูงได้อย่างดี 5 วิธีที่ว่า ประกอบด้วย
1. ลดน้ำหนักตัว โดยทุก 10 กก.ที่ลดน้ำหนักได้ ความดันโลหิตจะลดลงได้ 5-20มิลลิเมตรปรอท (mmHg)
2. ออกกำลังกาย ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าคนไทยมีกิจกรรมออกกำลังกายต่ำกว่ามาตรฐาน แต่หากมีวินัยสะสมการออกกำลังกายได้ตลอด 7 วัน รวม 150 นาทีต่อสัปดาห์ ซึ่งอาจออกกำลังกายวันเว้นวันก็ได้ แต่ให้รวมแล้ว 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือวันละ 40-50 นาที 3 วัน หรือจะออกกำลังกายทุกวันก็ยิ่งดีต่อความดันโลหิตแน่นอน สามารถลดความดันโลหิตได้ 4-9 mmHg หรือเทียบกับยาความดันครึ่งเม็ดถึง 1 เม็ด
3. กินอาหารประเภท ผักสด/ผลไม้สด/ลดเกลือ/เนื้อน้อย/ด้อยไขมัน ตามหลักโภชนบำบัด แนะนำกินผักพืชสดผลไม้สด 4-6 ฝ่ามือต่อมื้อ และคุมการกินเนื้อสัตว์ไม่ให้มากเกินไป เลือกกินอาหารด้อยไขมัน ควบคุมไขมันอิ่มตัว เช่น ไขมันปาล์ม ไขมันหมูในอาหาร ช่วยลดความดันได้ 8-15 mmHg
4. นอนดีให้ได้ 7-9 ชม.ต่อวัน ให้สังเกตรอบข้างไปด้วย หากเขานอนกรน อาจมีการอุดกั้นทางเดินหายใจระหว่างการนอน เป็นอีกสาเหตุให้ความดันโลหิตขยับสูง ดังนั้นหากคนในบ้านพบคนในครอบครัวนอนกรนแนะนำให้ตรวจการนอนหลับ (Sleep Test) ว่ามีภาวะพร่องออกซิเจนในเลือดหรือไม่ระหว่างนอน ซึ่งสามารถแก้ไขได้
5. นอกจากนี้แนะนำให้ทำสมาธิบำบัด เพื่อลดความเครียด
นพ.อัครวัฒน์ ย้ำว่า วิธีการทั้งหมดจะช่วยลดความดันโลหิตได้รวม 3-40 mmHg จากที่เคยวัดได้ 160/100 หากทำ 5 วิธีนี้ติดต่อกันได้ 1-3 เดือน ความดันโลหิตจะเหลือ 120/80เข้าสู่ตัวเลขมาตรฐานในที่สุด
ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับยาอยู่แล้วห้ามหยุดยาเองต้องปรึกษาแพทย์ ถึงแม้ค่าความดันจะดูเหมือนปกติแล้ว เพราะการหยุดยาโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ อาจทำให้ความดันดีดกลับขึ้นสูงทันที ซึ่งอาจนำไปสู่โรคหลอดเลือดสมองหรือหัวใจวายเฉียบพลันได้
ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=shkhxrFAPyQ&list=PL8j0wrnjKflUK-BYmji8sEIUHTnqTmadz&index=6
