back to top

เอาชนะเบาหวานได้ด้วยการนับคาร์บ

ที่ผ่านมาเราอาจรับรู้ว่าเมื่อเป็นเบาหวานแล้วต้องกินยาไปตลอดชีวิต ผู้ป่วยหลายคนจึงปล่อยเลยตามเลย จากกินยา 1 เม็ดเป็น 4 เม็ด และสุดท้ายเป็นการฉีดยาอินซูลิน ข้อมูลจากกรมอนามัยระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ป่วยเบาหวานในระบบ 5 ล้านราย เพิ่มจากเมื่อ 7–10 ปีก่อน ที่มีผู้ป่วยเบาหวาน 2.5–3 ล้านราย หรือทุกๆ ปีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นประมาณ 4 แสนคน ดังนั้นหากวันนี้เราไม่เรียนรู้ที่จะทำให้เบาหวานหาย หรือทำให้ความเสี่ยงเบาหวานลดลงจนกลับมาเป็นคนปกติ อีก 10 ปี ผู้ป่วยเบาหวานอาจเพิ่มเป็น 10 ล้านคน

แล้วจะทำอย่างไรให้เบาหวานหาย มีวิธีเอาชนะเบาหวาน โดย นพ.อัครวัฒน์ เพียวพงภควัตผู้อำนวยการกองส่งเสริมความรอบรู้และสื่อสารสุขภาพ ให้ความรู้ว่าต้องควบคุมคาร์โบไฮเดรต โดยให้คนไทยนับคาร์บให้เป็น ซึ่งจะมีสูตรคำนวณที่มีการเผยแพร่ออกมาแล้ว โดยเทียบเคียงจากน้ำหนักตัว หาก 1 วันกินได้ 6–7 คาร์บ ก็จะทำให้รู้ว่าควรกินอะไร หรือลดอะไร ซึ่งสามารถทำควบคู่ไปกับการลดน้ำหนัก เช่น การทำ IF (Intermittent Fasting) หรือการอดอาหารเป็นช่วง เช่น กิน 8 ชั่วโมง ไม่กิน 16 ชั่วโมง เป็นต้น หากคำนวณแล้วและกินตามนั้น ระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลง

ทั้งนี้พบได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวานที่เกิดกรณี “สมองติดน้ำตาล” ซึ่งไม่ได้เกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดสูงจริงๆ โดยสมองจะเรียนรู้ระดับน้ำตาลในเลือด ผู้ป่วยจะคิดว่าพอระดับน้ำตาลอยู่ที่ 180–200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร จะรู้สึกสบายตัวและผ่อนคลาย หากกินยาแล้วทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงมาอยู่ที่ 120–180 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร จะรู้สึกเหนื่อยอ่อนเพลียขึ้นมาได้ และผู้ป่วยมักถูกสอนกันมาว่า หากเหงื่อแตกเป็นเม็ดข้าวโพด น่าจะเกิดภาวะน้ำตาลต่ำ ให้รีบไปหาอะไรกิน เช่น เครื่องดื่มหวานๆ

แต่ความเป็นจริง อาการเหนื่อยอ่อนเพลียอาจไม่ได้เกิดจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่อาจมาจากสมองเรียกร้องให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นไปอยู่ในเกณฑ์ที่สมองคุ้นชิน ดังนั้นหากมีอาการอ่อนเพลีย ให้แก้ไขโดยไปที่สถานี Health Station ใกล้บ้าน และขอให้อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) เจาะตรวจระดับน้ำตาล เพื่อดูว่าน้ำตาลในเลือดต่ำจริงหรือไม่ อย่ากลัวการเจาะน้ำตาลปลายนิ้ว

ทั้งนี้ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) คือภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่า 70 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หากไม่ต่ำ เช่น อยู่ในระดับ 100–120 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ให้ใช้วิธีพักและผ่อนคลาย เช่น สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ นั่งสมาธิ หรือดื่มน้ำ 1–2 แก้ว

“การที่เราคิดไปเองโดยไม่รู้ตัวเลขระดับน้ำตาลในเลือดที่แท้จริง พอเหนื่อยก็มักจะจินตนาการไปเองว่าอยู่ในภาวะน้ำตาลต่ำ และไปหาอะไรหวานๆ มากิน เมื่อทำบ่อยๆ ระดับน้ำตาลในเลือดจะขยับสูงขึ้น ทำให้การควบคุมน้ำตาลทำได้ยากขึ้น หลายแสนคนต้องขยับไปใช้ยาฉีดอินซูลิน”

แต่หากเราตระหนักรู้และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดี ด้วยการปรับพฤติกรรมการกินต่างๆ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ก็สามารถปรึกษาแพทย์ผู้รักษาเพื่อขอปรับลดยาได้ ถือเป็นรางวัลที่แท้จริง เพราะไม่ต้องใช้ยาขนาดเท่าเดิมใน 3 เดือนถัดไป

ที่มา: หลักสูตรประชาชนรอบรู้สุขภาพห่างไกล NCDs https://www.youtube.com/watch?v=4ws-LsxVrGM&list=PL8j0wrnjKflUK-BYmji8sEIUHTnqTmadz&index=5