มาทำความรู้จักกันก่อนว่า ความดันโลหิตคืออะไร? ความดันโลหิต เป็นแรงดันเลือดที่เกิดจากหัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย ซึ่งวัดได้ 2 ค่า ได้แก่
– ความดันโลหิตค่าบน คือ แรงดันโลหิตขณะที่หัวใจบีบตัวเต็มที่
– ความดันโลหิตค่าล่าง คือ แรงดันโลหิตขณะที่หัวใจคลายตัวเต็มที่
ความดันโลหิตสูงคืออะไร?
ความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นภาวะที่ตรวจพบว่ามีความดันโลหิตอยู่ในระดับสูงผิดปกติ คือมากกว่า หรือเท่ากับ 140/90 มิลลิเมตรปรอท ซึ่งอาจไม่แสดงอาการแต่จะเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง เส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพอง ไตวาย เป็นต้น ดังนั้นหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสม อาจทำให้ผู้ป่วยทุพพลภาพหรือเสียชีวิตได้
โดยแบ่งการเกิดภาวะแทรกซ้อนแบ่งได้ 2 กรณี คือ
1. ภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูงโดยตรง เช่น หัวใจวาย
2. ภาวะแทรกซ้อนจากหลอดเลือดตีบหรือตัน
หากเกิดบริเวณหลอดเลือดหัวใจ จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเรื้อรังหรือเฉียบพลัน ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ กรณีเกิดที่บริเวณหลอดเลือดในสมอง จะทำให้หลอดเลือดในสมองตีบหรืออุดตัน และอาจทำให้เป็นอัมพาต หากเกิดบริเวณไตอาจทำให้ไตวายได้
ดังนั้นจึงต้องรักษาโรคความดันโลหิตสูง เพื่อลดอัตราการเกิดทุพพลภาพและเสียชีวิตของผู้ป่วยที่เกิดจากภาวะแทรกซ้อนต่างๆ โดยค่าความดันโลหิตเป้าหมายในการรักษา คือ ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงทั่วไป ควรมีค่าความดันโลหิตต่ำกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท
– ตัวบน 120 – 130 มิลลิเมตรปรอท
– ตัวล่าง 70 – 79 มิลลิเมตรปรอท
ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่มีเบาหวานหรือไตเสื่อมร่วมด้วย ควรมีค่าความดันโลหิตต่ำกว่า 130/80 มิลลิเมตรปรอท
เราควรต้องวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ เพื่อติดตามสุขภาพของตนเอง ซึ่งสามารถวัดเองที่บ้าน โดยปฏิบัติดังนี้ เพื่อให้ได้ค่าความดันโลหิตที่เป็นจริง
1. ไม่ดื่มชา กาแฟ สูบบุหรี่ หรือออกกำลังกายก่อนทำการวัด 30 นาที
2. ก่อนทำการวัดควรถ่ายปัสสาวะให้เรียบร้อย
3. นั่งเก้าอี้โดยให้หลังพิงพนักเพื่อไม่ให้หลังเกร็งเท้าทั้ง 2 ข้างวางราบกับพื้น เพื่อให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายเป็นเวลา 5 นาที ก่อนวัดความดันโลหิต
4. วัดความดันโลหิตในแขนข้างที่ไม่ถนัด หรือข้างที่มีความดันโลหิตสูงกว่า โดยวางแขนให้อยู่ในระดับเดียวกับหัวใจ
5. ขณะวัดความดันโลหิตไม่กำมือ ไม่พูดคุย หรือขยับตัว
ในการวัดค่าความดันโลหิตแต่ละครั้งควรใช้วิธีการวัดให้ถูกต้อง พร้อมจดบันทึกตัวเลขค่าความดันโลหิตตัวบนและตัวล่างรวมทั้งอัตราการเต้นของหัวใจในสมุดประจำตัวผู้ป่วยความดันโลหิตสูง โดยวัดค่าความดันโลหิตอย่างน้อยวันละ 2 ช่วงเวลา ได้แก่

ช่วงเช้า วัดความดันโลหิตอย่างน้อย 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 1 – 2 นาที ภายใน 2 ชั่วโมงหลังตื่นนอน และก่อนรับประทานยาลดความดันโลหิต ช่วงก่อนเย็น วัดความดันโลหิตอย่างน้อย 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 1 – 2 นาที
ทั้งนี้ผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการ แต่บางรายพบว่ามีอาการปวดหัว เวียนหัว มึนงงและเหนื่อยง่ายผิดปกติ ซึ่งหากมีภาวะความดันโลหิตสูงนานๆ แต่ไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้อวัยวะสำคัญต่างๆในร่างกายถูกทำลาย ได้แก่ หัวใจ สมอง ไต หลอดเลือด และตา เนื่องจากภาวะความดันโลหิตสูงจะทำให้ผนังหลอดเลือดแดงหนาตัวขึ้นและรูเล็กลง ทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้น้อยลง ส่งผลให้อวัยวะเหล่านั้นทำงานไม่เป็นปกติ และหากถูกทำลายอย่างรุนแรงอาจส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
การปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง
1. ลดน้ำหนัก ในผู้ป่วยที่มีน้ำหนักเกิน ซึ่งการลดน้ำหนักลง 5% ของน้ำหนักตั้งต้นขึ้นไป จะส่งผลให้ความดันโลหิตลดลงเทียบเท่ากับยาลดความดันโลหิต 1 ชนิด
2. หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม
3. ลดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน อาจส่งผลให้ระดับความดันโลหิตสูงกว่าปกติได้ชั่วคราว
4. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ควรจำกัดปริมาณให้น้อยกว่าวันละ 1 แก้ว
5. งดสูบบุหรี่
6. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ โดยควรปฏิบัติอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 30 นาที ไม่จำเป็นต้องวิ่ง แนะนำให้ออกกำลังกายโดยการว่ายน้ำหรือการเดินก็เพียงพอ ทั้งนี้หากความดันโลหิตมากกว่า 160/110 มม.ปรอท ควรได้รับยาควบคุมความดันโลหิตก่อนออกกำลังกาย และไม่ควรออกกำลังกายหากความดันโลหิตขณะพักมากกว่า 180/110 มม.ปรอท และแนะนำให้รีบปรึกษาแพทย์
ทั้งนี้ในระหว่างออกกำลังกาย ควรหยุดออกกำลังกายทันที หากเกิดอาการดังต่อไปนี้ เหนื่อยมากผิดปกติ เช่น ไม่สามารถพูดในระหว่างออกกำลังกายเนื่องจากหายใจเร็วและลึก เวียนศีรษะ ตามัว หายใจไม่ออก หายใจไม่ทัน เจ็บแน่นหน้าอก ชีพจรเต้นผิดปกติ ไม่สม่ำเสมอ หน้ามืด เป็นลม หมดสติ หรือคลื่นไส้หลังออกกำลังกาย พูดไม่ชัดตะกุกตะกัก เหงื่อออก ตัวเย็นผิดปกติ แขน ขาไม่มีแรง ควบคุมการเคลื่อนไหวไม่ได้
นอกจากนี้มีคำแนะนำการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ (Healthy diet) ซึ่งจะมีส่วนช่วยอย่างมากในการรักษาระดับความดันโลหิต โดยรับประทานอาหารให้หลากหลายครบ 5 หมู่ ใช้หลักการ อาหารจานสุขภาพ (Plate method) หรือ ทฤษฎี 2:1:1 “ผัก 2 ส่วน : ข้าว 1 ส่วน : เนื้อสัตว์ 1 ส่วน” ซึ่งการรับประทานผักผลไม้ในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายได้รับโพแทสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม และใยอาหารที่ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้
– ผัก 2 ส่วน หรือครึ่งจาน เลือกรับประทานผักชนิดใดก็ได้ ทั้งผักสดหรือผักสุก ควรรับประทานให้หลากหลาย และล้างให้สะอาดก่อนรับประทาน
– ข้าวแป้ง 1 ส่วน หรือ 1/4 ของจาน เช่น ข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง ธัญพืช (ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ ลูกเดือย) ฟักทอง เผือก มัน แนะนำให้เลือกแบบไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง เส้นหมี่กล้อง เพราะมีใยอาหารสูง
– เนื้อสัตว์ 1 ส่วน หรือ 1/4 ของจาน เลือกรับประทานเนื้อสัตว์ไม่ติดหนัง ไม่ติดมัน เลี่ยงอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอกแฮม หมูยอ เบคอน กุนเชียง แหนม เป็นต้น
– ผลไม้ 4 จานเล็กต่อวัน แบ่งทาน 4 มื้อ เช่น ผลไม้ผลใหญ่กว่ากำปั้น½ ผล หรือผลไม้เป็นผลขนาดกลาง 1 ผล หรือผลไม้เป็นผลขนาดเล็ก 2 – 4 ผล หรือผลไม้หั่นพอดีคำประมาณ 6 – 8 ชิ้น หรือปริมาณผลไม้ที่วางเรียงชั้นเดียวบนจานรองกาแฟได้พอดี 1 จาน
– นม และผลิตภัณฑ์จากนมไขมันต่ำ หรือปราศจากไขมัน 1 – 2 แก้วต่อวัน หรือโยเกิร์ตรสธรรมชาติไขมันต่ำ หรือปราศจากไขมัน 1 – 2 ถ้วยต่อวัน หรือนมถั่วเหลืองหวานน้อย 1 – 2 แก้วต่อวัน
– น้ำตาล น้ำมัน เกลือให้ใช้แต่น้อย
– จำกัดโซเดียมในอาหารน้อยกว่า 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน (โซเดียม 2,000 มิลลิกรัม เทียบเท่าเกลือแกง 1 ช้อนชา) สามารถช่วยลดความดันโลหิตได้
ข้อมูล : โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์