back to top

จิตวิทยาการโกหก…คำโกหกที่บอกซ้ำจนกลายเป็นเรื่องจริง

การปะทะกันแรงระหว่างไทยและกัมพูชา ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ทำให้ประชาคมโลกเห็นถึง “การโกหก” หน้าตายของรัฐบาลกัมพูชาในหลายกรณีด้วยกัน ทำให้หลายคนสงสัยว่ามีด้วยหรือที่มนุษย์จะมีคำพูดโกหกได้เป็นปกติราวกับเรื่องนั้นเป็นความจริง คำตอบคือ “มีมนุษย์เหล่านั้นอยู่ในโลกใบนี้จริงๆ อย่างที่เห็น” 

มาดูกันว่าเขาโกหกได้อย่างไรเมื่อความจริงแท้มีอยู่ “โกหก” หมายถึง การที่ผู้พูดบอกข้อมูลเท็จให้กับบุคคลอื่น โดยที่ผู้พูดรู้ว่าไม่ใช่ความจริงทั้งหมดโดยจงใจ ซึ่งวัตถุประสงค์ของการโกหก ไม่เพียงเพื่อให้ประสบผลสำเร็จในการหลอกลวงเท่านั้น แต่เพื่อให้สำเร็จในการโน้มน้าวใจบางสิ่ง 

นักจิตวิทยา พบว่ามีแรงจูงใจมากมายในการโกหก เช่น รักษาหน้าตา หลีกเลี่ยงการถูกลงโทษ หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า มีอิทธิพลเหนือผู้อื่น สร้างความประทับใจ การขอความช่วยเหลือและสนับสนุน รวมถึงเพื่อทำร้ายผู้อื่น ทั้งนี้ในการศึกษาวิจัยของต่างประเทศได้มีการจัดรูปแบบการโกหกไว้ 6 ประเภทด้วยกัน โดยเรียงระดับรุนแรงจากเบาไปหาหนัก ดังนี้ 

  • การโกหกเพื่อช่วยผู้อื่นจากความเจ็บปวดที่เล็กน้อย ความอับอาย หรือความละอาย
  • การโกหกเพื่อปกป้องตนเอง หรือบุคคลอื่นจากการถูกลงโทษหรือความไม่พอใจ สำหรับการล้มเหลวเล็กน้อย หรือการทำผิดพลาดร้ายแรงจากความสะเพร่า ซึ่งไปทำร้ายใครบางคน
  • การโกหกเพื่อที่จะมีอิทธิพลต่อคนอื่นในตำแหน่งหน้าที่การงาน เช่น ในทางที่ได้รับการตอบสนองที่ได้ประโยชน์ต่อตนเอง แต่ไม่เป็นการทำร้ายผู้อื่น
  • การโกหกเพื่อให้ตนเองดูดีกว่าความเป็นจริง หรือปกป้องผลประโยชน์บางอย่าง
  • การโกหกเพื่อสิ่งหนึ่ง ซึ่งถ้าสำเร็จจะทำให้ตนเองได้ประโยชน์
  • การโกหกเพื่อทำร้ายคนอื่น แต่ตัวเองได้ผลประโยชน์

ส่วนงานวิจัยในประเทศไทย ได้แบ่งประเภทการโกหกไว้ 4 รูปแบบ ตามแรงจูงใจเป้าหมาย ดังนี้

  • การโกหกเพื่อช่วยเหลือหรือปกป้องผู้อื่น
  • การโกหกเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจจะมีความขัดแย้งกับผู้อื่น
  • การโกหกเพื่อให้เข้ากับผู้อื่นได้ หรือให้คนอื่นดูมีความคิดเห็นเหมือนผู้อื่น
  • การโกหกเพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อตนเอง โดยเฉพาะทางวัตถุนิยม

มีงานวิจัยโดยให้ผู้เข้าร่วมจำนวน 147 คน มีการถามถึงมุมมองของการโกหก พบว่า พวกเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องโกหกของตนอย่างจริงจัง และไม่ได้วางแผนอะไรมากมาย หรือไม่ได้กังวลเกี่ยวกับการถูกจับได้ แต่อย่างไรก็ตามก็คิดว่าการมีปฏิสัมพันธ์ในสังคมที่ไม่มีการโกหกก็ยังน่าพอใจมากกว่า และช่วยให้มีความใกล้ชิดกันมากกว่า

นอกจากนี้ยังมีอีกงานวิจัยที่ได้มุมมองเพิ่มเติมว่า ผู้ที่มองการโกหกว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ จะเห็นการโกหกเป็นเครื่องมือที่จะนำความสำเร็จทางสังคม หรือความสำเร็จส่วนตนมาสู่ตนเอง ซึ่งเขาจะฝึกโกหกมากกว่าผู้อื่น และยังสำนึกผิดน้อยกว่า ส่วนผู้ที่ไม่ยอมรับการโกหก จะโกหกน้อยกว่าและรู้สึกมากกว่า มีความโกรธมากกว่าหากทราบว่าตนถูกโกหก และยังตัดสินคนที่โกหกในแง่ร้ายมากขึ้น มีงานวิจัยยังพบว่า หากเป็นการโกหกเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันหรือเพื่อผลประโยชน์ของผู้อื่น การโกหกจะได้รับการยอมรับมากขึ้น 

ส่วนงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพและการโกหก วิเคราะห์ออกมาว่าผู้ที่มีลักษณะชอบสร้างความประทับใจและชอบเข้าสังคมมีการรายงานการโกหกสูงกว่าผู้ที่มีลักษณะดังกล่าวต่ำ ส่วนผู้ที่วิตกกังวลทางสังคมสูงและคนขี้อาย รายงานว่ามีความรู้สึกอึดอัดไม่สบายระหว่างโกหก มีการแสดงท่าทีพิรุธสูง และโกหกไม่ได้นาน ตรงข้ามกับผู้ที่มีลักษณะการหาผลประโยชน์จากผู้อื่น จะรับรู้ความสามารถในการโกหกในสถานการณ์ชีวิตประจำวัน และรู้สึกละอายใจเพียงเล็กน้อย และเมื่อต้องโกหกในสถานการณ์ร้ายแรง ผู้ที่มีการหาผลประโยชน์จากผู้อื่นจะรู้สึกสบายใจทั้งก่อนและหลังการโกหก 

โดยคนที่มีลักษณะซื่อสัตย์และกล้าแสดงออก มักไม่โกหกเพื่อให้สังคมยอมรับตน รวมถึงจะไม่โกหกเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ส่วนบุคคลที่มีลักษณะแมคคาวิลเลี่ยนสูง (Machivellian) หรือคนที่มีนิสัยชอบหลอกใช้คนอื่น เพื่อทำให้ตัวเองมีอำนาจ มักโกหกเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง และโกหกเพื่อตนเอง โดยบุคคลที่มีการทำตามแรงจูงใจสูงจะโกหกเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของสังคมและเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ส่วนผู้ที่มีความเมตตาสูงจะโกหกเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง แต่จะไม่โกหกเพื่อตัวเอง 

ข้อมูลการศึกษาวิจัยข้างต้นคงพอจะเดาได้แล้วว่า เพราะเหตุใดการโกหกคำโตตลอดเวลาของกัมพูชาบนหน้าสื่อ ทั้งที่เป็นทางการโดยเจ้าหน้าที่รัฐ และที่ไม่เป็นทางการโดยประชาชนบางกลุ่มจะพูดความเท็จได้อย่างหน้าตายราวกับเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริง ทั้งที่รู้ว่าคำโกหกของเขาเหล่านั้นไม่ได้เป็นความจริงเลย แต่ที่ทำก็เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์บางประการก็เท่านั้นเอง

อ้างอิงข้อมูลวิชาการจาก : คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย https://www.psy.chula.ac.th/th/feature-articles/lying