back to top

ยกย่อง “เจตนา นาควัชระ” คว้ารางวัล “นักเขียนอมตะ” ครั้งที่ 11 ประจำปี 2567

มูลนิธิอมตะประกาศผลรางวัล “นักเขียนอมตะ” ประจำปี 2567 ยกย่อง “ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.เจตนา นาควัชระ” คว้ารางวัล “นักเขียนอมตะ” ครั้งที่ 11 ประจำปี 2567สร้างสรรค์ผลงานวิจารณ์ที่ลึกซึ้ง เปิดแนวคิดและมุมมองใหม่ในการวิจารณ์วรรณกรรมและศิลปะไทย ด้วยวรรณศิลป์วลีคมคายเพื่อการจดจำ ที่สามารถสะท้อนทุกมุมมอง ปัญหาของสังคมไทยในยุคปัจจุบัน สร้างชื่อ เป็นที่ยอมรับจากนักวิชาการวรรณกรรมทั้งไทยและต่างชาติ

นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานมูลนิธิอมตะ (AMATA FOUNDATION) เปิดเผยว่า ผลการคัดสรร รางวัลนักเขียนอมตะ ครั้งที่ 11 ประจำปี 2567 คณะกรรมการมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.เจตนา นาควัชระ ได้รับรางวัลนักเขียนอมตะ ประจำปี 2567 จะได้รับโล่รางวัลและเงินรางวัลจำนวน 1,000,000 บาท (หนึ่งล้านบาทถ้วน) 

ในปีนี้มีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ทางด้านวรรณศิลป์ จำนวน 6 ท่าน ประกอบด้วย นางชมัยภร บางคมบาง (แสงกระจ่าง) ประธานกรรมการ (ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์), ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุวรรณา เกรียงไกรเพ็ชร์ กรรมการ, รองศาสตราจารย์ ดร.ตรีศิลป์ บุญขจร กรรมการ, นายจรัญ หอมเทียนทอง กรรมการ, นางกนกวลี กันไทยราษฎร์ (พจนปกรณ์) กรรมการ และรองศาสตราจารย์ ดร.สุปาณี พัดทอง กรรมการและเลขานุการ โดยมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาดังนี้  

ข้อ 1 เป็นนักเขียนสัญชาติไทยและมีชีวิตอยู่ในวันที่เสนอชื่อ 

ข้อ 2 มีผลงานเป็นภาษาไทยเผยแพร่ต่อสาธารณชนต่อเนื่องยาวนาน 

ข้อ 3 ผลงานมีคุณค่าสร้างสรรค์สังคมและมวลมนุษยชาติ

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.เจตนา นาควัชระ เป็นผู้ได้รับการยอมรับและชื่นชมยกย่องว่าเป็นนักเขียนนักคิด นักวิจารณ์ที่ลึกซึ้งและสร้างสรรค์ มีผลงานที่โดดเด่น อาทิเช่น ทฤษฎีเบื้องต้นแห่งวรรณคดี, ทางไปสู่วัฒนธรรมแห่งการวิจารณ์, ทางอันไม่รู้จบของวัฒนธรรมแห่งการวิจารณ์ เป็นผู้สร้างแนวคิดใหม่ในการวิจารณ์วรรณกรรมอย่างมีศิลป์ พร้อมมีวลีคมคายสำหรับจดจำ เช่น วัฒนธรรมแห่งการวิจารณ์, ศิลปะส่องทางให้แก่กัน ทฤษฎีจากแผ่นดินแม่, ทวิวัจน์ เป็นต้น ซึ่งคำเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการมองหามุมใหม่ในการเขียนงานวิจารณ์ในแวดวงวรรณกรรมไทย ที่สะท้อนภาพและปัญหาของสังคมไทยปัจจุบัน 

นอกจากนี้ยังเป็นนักภาษาและนักเขียนสารคดีที่มีชั้นเชิงวรรณศิลป์ รอบรู้หลายภาษา ทั้งไทย อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส สามารถเล่นกับภาษาได้อย่างลึกซึ้ง และยังมีกลวิธีเชิงวรรณศิลป์ในการใช้ภาษาเพื่อปลุกเร้าหรือสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่าน มีการสร้างคำชุดใหม่ จะเห็นได้จากบทความต่างๆ อาทิ ศัตรูที่ไหลลื่น แง่มุมหนึ่งของวรรณกรรมไทยร่วมสมัย ที่แปลกใหม่และทรงอิทธิพลต่อวงการวรรณกรรมมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยนิสัยที่รักการอ่าน การแปล วิจัย ศึกษา ค้นคว้าวรรณกรรมและวัฒนธรรมยุโรปอย่างลึกซึ้ง ทำให้มองเห็นความแตกต่างและความเหมือนของภูมิปัญญาตะวันตกและตะวันออก เมื่อนำมาผสานกับความช่างคิด ช่างวิเคราะห์ และวิจารณ์อย่างมีองค์ประกอบ จึงทำให้ผลงานเป็นที่ยอมรับจากนักวิชาการวรรณกรรมไทยและนักวิชาการวรรณกรรมต่างชาติ

ด้วยการที่เป็นพลเมืองแบบอย่างอย่างแท้จริง “ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.เจตนา นาควัชระ” จึงอุทิศตนให้แก่วงการวรรณกรรมวิจารณ์ วงการศึกษา และยังเป็นนักวิจารณ์ชั้นเยี่ยม ทุกครั้งที่ได้รับทุนใดๆ จะตั้งใจทำงานวิจัยอย่างเต็มที่  โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ประโยชน์แก่สังคมโดยรวม จะเห็นได้จากการได้รับรางวัลต่างๆ และเป็นแบบอย่างของคนในวงวรรณกรรม วงการศึกษาไทย และสังคมไทยอีกด้วย

ทั้งนี้ มูลนิธิอมตะได้ประกาศยกย่อง “นักเขียนอมตะ” ไปแล้ว 11 คน ได้แก่ นายศักดิชัย บำรุงพงศ์ นามปากกา “เสนีย์ เสาวพงศ์”, นายโรจ งามแม้น นามปากกา “เปลว สีเงิน”, นายโกวิท เอนกชัย นามปากกา “เขมานันทะ”, นายสมบัติ พลายน้อย นามปากกา “ส.พลายน้อย”, พระไพศาล วิสาโล, นายคำสิงห์ ศรีนอก นามปากกา “ลาว คำหอม”, นายฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ นามปากกา “พนมเทียน”, นายอาจินต์ ปัญจพรรค์, นางสุกัญญา ชลศึกษ์ นามปากกา “กฤษณา อโศกสิน”, นายอัศศิริ ธรรมโชติ, นางสุภา สิริสิงห นามปากกา “โบตั๋น” สำหรับปี 2567 นี้ มูลนิธิอมตะ ได้ประกาศให้ “ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.เจตนา นาควัชระ” ได้รับรางวัล ซึ่งจะมีพิธีมอบรางวัลอย่างเป็นทางการในวันที่ 17 มกราคม 2568

รางวัล “นักเขียนอมตะ” ก่อตั้งขึ้นโดยมูลนิธิอมตะ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมบุคคลที่ทำงานด้านวรรณกรรม บุคคลที่สร้างคุณค่าผ่านงานประพันธ์ในรูปแบบต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม จึงถือเป็นรางวัลแห่งเกียรติยศที่เปี่ยมด้วยคุณค่า มาตรฐาน และคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ อิสระ และเชิดชูเกียรติประวัตินักเขียนไทยที่มีความสามารถให้ปรากฏ และถือเป็นกำลังใจแก่นักเขียนไทยผู้อุทิศตน ทุ่มเท สร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณค่าอันควรแก่การนำผลงานเผยแพร่สู่สากล