ในบ่ายวันหนึ่ง เรานัดพบกับไอดอลหญิงแกร่งสายสุขภาพอย่าง ‘เมจิ’ อโณมา ศรัณย์ศิขริน ในวันนั้น ภาพที่เธอเดินออกมาจากคอนโดมิเนียมย่านสุขุมวิท เพื่อให้เราได้สัมภาษณ์ เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่มีชีวิตชีวาสดใส บวกด้วยรูปร่างสมส่วนสวยงาม บ่งบอกถึงกาย และใจที่แข็งแรงไม่ยิ่งหย่อน
ทำให้เรามั่นใจว่าความแข็งแรงของเมจิในวันนี้ ไม่ได้เกิดจากท่าสควอช หรือแพลงกิ้ง เพียงอย่างเดียว แต่มาจากแรงขับเคลื่อนภายในใจที่ผลักดันให้เธอก้าวออกจากสาวเอวบางร่างน้อยเมื่อสิบกว่าปีก่อนเป็นผู้หญิงแสนสตรองในตอนนี้ เราอดไม่ได้ที่จะถามคำถามแรกถึงแรงบันดาลใจของเธอ
เธอ ตอบว่า ถ้าใช้แรงบันดาลใจ คงไม่ทำให้เมจิมาถึงวันนี้ได้ เพราะเจ้า “แรงบันดาลใจ” เป็นแค่เพื่อนฉาบฉวย มาทำให้เราสนุกแล้วก็จากไป หรือบางวันต้องการแต่ไม่มา สิ่งที่จะอยู่กับเราตลอดไป คือความรับผิดชอบ และการอยู่กับปัจจุบัน “การใช้แรงบันดาลใจทำให้เราดีแบบขึ้นๆ ลงๆ วันไหนมีมากก็ทำมาก ช่วงไหนไม่มีก็หายไปสามเดือน” แต่การทำอย่างต่อเนื่อง คือความรับผิดชอบต่อตัวเอง เพราะ เพื่อนแท้คือตัวเราเอง พอเขาแย่เราจะทะนุถนอมเขา พอเขาขี้เกียจเราจะเฆี่ยนเขา หรือหากเร็วไปเราจะสโลว์ดาวน์ “ชีวิตมีหลายเกียร์ เหมือนขับรถ”
เมจิ เล่าย้อนไปว่า สิบกว่าปีก่อนเธอมี “ชีวิต แต่ไม่มีชีวา” ช่วงที่กำลังถอยออกจากวงการบันเทิงถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ตอนนั้นมีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายเข้ามาในชีวิต สุขภาพก็แย่ลงจากภูมิคุ้มกันอ่อนแอที่เล่นงานอย่างหนัก หลายคนที่เป็นภูมิแพ้อาจแค่เป็นแค่ไอจาม หรือน้ำมูกไหล แต่สำหรับเธอต้องนอนซมเป็นวันๆเลยทีเดียว แล้วก็แย่ลงเรื่อยๆ เรียกว่าใช้ชีวิตไม่ต่างจากคนแก่คนหนึ่ง เดินขึ้นบันไดก็แสนเหนื่อย เป็นอย่างนั้นนานวันเข้า ทำให้เมจิ ต้องกลับมานั่งทบทวน และตั้งคำถามกับชีวิต แล้วก็ตั้งปณิธานกับตัวเองว่า “ชีวิตต้องดีขึ้น”
เธอ ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองตั้งแต่อาหาร และการออกกำลังกาย เมจิ เล่าติดตลกว่า “อย่างน้อยหากตายไปยมบาลถามว่าดูแลสุขภาพหรือยัง เราก็ตอบได้ว่าได้ทำแล้ว ดีกว่านอนคร่ำครวญ ปล่อยให้โชคชะตามาจมทับเรา แล้วก็ยังคิดได้ว่าคนพิการยังทำประโยชน์ให้กับสังคมได้มากมาย เราแค่ดึงตัวเองออกมา ผลจะเป็นอย่างไรไม่สำคัญ ขอให้เริ่มทำ”
การเปลี่ยนแปลงตัวเองในตอนนั้น เมจิ เรียกว่า set zero เพราะความเจ็บป่วยทำให้ชีวิต “ติดลบ” เธอ หาจุดสมดุลให้ตัวเองจนเจอ ลดเวลาทำงานแล้วก็ใส่เวลาออกกำลังกายอย่างจริงจัง เมจิ สตาร์ทก้าวแรกด้วยการ “เดิน” ใกล้ๆ เดินไปเดินมาก็เดินได้ทั้งวัน แล้วก็มาวิ่ง แล้วก็วิ่งได้อย่างต่อเนื่องในระยะที่ไกลขึ้นๆ บวกด้วยจังหวะชีวิตที่ต้องไปอยู่กับสามีที่ออสเตรเลีย ทำให้เธอเข้าสู่ เวท เทรนนิ่ง (weight training) ซึ่งตอนนั้นยังเป็นเรื่องใหม่ในบ้านเรา แล้วผู้หญิงที่นั้นก็เล่นกล้ามกันด้วย ทำให้เมจิผ่านการเทรนสไตล์ฝรั่งๆ บวกกับแสงแดดที่ออสเตรเลียค่อนข้างแรงตั้งแต่เช้า ทำให้ผิวของเธอเปลี่ยนเป็นสีแทนอย่างที่ใครๆ เห็นในตอนนี้
สิ่งที่เมจิ รู้สึกได้นับจากได้เหงื่อ นั่นก็คือ ร่างกายภายในเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน จากระบบเผาผลาญพัง ทุกอย่างในร่างกายรวน ทั้งฮอร์โมน การย่อยอาหาร ขับถ่าย นอนหลับ มาเป็น เลือดลมดี ประจำเดือนมาปกติ ระบบขับถ่ายก็ดี ตัวเบาขึ้น แม้น้ำหนักไม่ลดลง แต่ร่างกายฟิตและเฟิร์ม
ขณะเดียวกันไอดอลของผู้หญิงนับแสนคนอย่างเมจิ ไม่ได้ดูแลร่างกายเท่านั้น เธอเฝ้าตามดูแลจิตใจของตัวเองทุกขณะด้วยเช่นกัน ตลอดเวลาที่เราได้พูดคุยกับเธอชั่วโมงกว่าๆ ทำให้เรา มั่นใจว่าผู้หญิงคนนี้มีวิธีการดูแลจิตใจให้สตรองไม่แพ้ร่างกายเลยทีเดียว
เมจิ ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยา และก็เคยปฏิบัติธรรมมาก่อน จึงมีวิธีดูแลจิตใจตัวเอง ที่ทำไปพร้อมกับการออกกำลังกาย เรายังเป็นมนุษย์ มีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ได้ตลอด แต่ต้องรู้เท่าทัน ไม่ตกเป็นทาสอารมณ์นานเกินไป จะสุขหรือทุกข์ก็อย่าไปยึดมัน คนเราบางทีสุขมากจนหลงระเริง แล้วก็ไม่อยากทุกข์ พอทุกข์ก็ขาดสติ ไปเพิ่มเลเวลให้มัน ทุกข์จริงๆ อาจแค่ 4แต่เราเอาประสบการณ์ไปสร้างให้ทุกข์มันใหญ่โตไปถึง 10 เมจิ แนะนำอย่างผู้ผ่านประสบการณ์มาว่า เกิดอะไรขึ้นกับชีวิต อย่าไปจมกับมัน ฝึกตัดทิ้งให้เร็ว อยู่กับปัจจุบัน แล้วก็เดินหน้าต่อไป ชีวิตเราจะคมขึ้นเรื่อยๆ ผ่านการฝึกฝน เพื่อให้สามารถอยู่กับโลกในทุกสังคมได้ เพราะเราจะเลือกอยู่แต่ที่ที่มีแต่คนดีๆ คงเป็นไปไม่ได้ “จะอยู่ที่ไหนก็ตาม แท้จริงแล้วศัตรูและมิตร คือตัวเราเอง”
เมจิ ซึ่งอยู่ท่ามกลางสปอร์ตไลท์ส่องตลอดเวลาเธอเข้าใจโลกดี โดยเฉพาะโลกโซเชียลที่หลายคนสนุกกับการติติง เมจิ บอกว่า ขอให้เราทำให้ดีที่สุดก็พอ หากคนทั้ง 99% โอเคกับเรา อีก 1% ไม่โอเค ถือว่าเป็นปัญหาของเขาแล้ว เธอ มั่นใจว่าเมื่อได้ทำดีที่สุดแล้ว ไม่ไปคดโกงใคร หากมีอะไรเข้ามากระทบจะทำตัวเองให้เหมือนกำแพงโปร่งใส ให้เสียงต่างๆ ที่เข้ามาทะลุออกไป ถ้าเอาตัวเองไปจมมากๆ ก็เหมือนรับเชื้อโรคเข้ามาเต็มๆ ภูมิคุ้มกันเราสู้ไม่ไหวแน่นอน
หลักในการดำเนินชีวิตให้มีความสุขของเมจิ เกิดจากการเรียนรู้คำสอนของทุกศาสนาที่ประมวลให้เป็นเธอในวันนี้ เธอตกผลึกได้ว่า ความเมตตากรุณาเป็นภาษาสากล เพียงแต่ถูกสอนในรูปแบบต่างๆ แต่เราต้องเข้าใจและให้เกียรติตัวเองก่อน จึงจะเข้าใจผู้อื่น แล้วก็เกิดการให้อภัย และไม่ลืมที่จะขัดเกลาตัวเองทุกวัน ด้วยการทำดีเล็กๆ น้อยในทุกๆ วัน เหมือนเราหย่อนกระปุกด้วยเหรียญ ทุกวันๆ กระปุกก็เต็มและหนัก ดีกว่ารอทำดีแบบยิ่งใหญ่ที่อาจทำได้แค่ปีละหน
ในชีวิตของเมจิในวัย 43 ปี บางครั้งก็เจอสถานการณ์ที่เรารับไม่ไหว เธอบอกว่า เลือกจะปลีกวิเวก เพราะเอาเข้าจริงแล้ว เธอชอบอยู่เงียบๆ มากกว่า แล้วก็หาหนังสือดีๆ อ่าน เธอ เล่าถึงหนังสือโปรดว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับทฤษฎีควอนตัมที่กำลังสนใจเป็นพิเศษ ที่นำมาปรับใช้ในชีวิต เมจิ อธิบายถึงพลังงานควอนตัม ว่า หากเรามุ่งมั่นที่จะประสบผลสำเร็จ หรือต้องการจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง แล้วได้ประทับความคิดแบบนี้ในใจทุกวันๆ จะเกิดเป็นภาพและพลังงานที่หนักแน่น จนรู้สึกว่าไม่มีอะไรมาทำลายศรัทธาเราไปได้ เรียกว่า เป็นความเชื่อที่จะนำพาชีวิตของเราให้เป็นแบบนั้นในวันหนึ่ง
การที่เมจิต้องสร้างพลังความเชื่อให้ตัวเอง ก็เพราะสนามวิ่ง มาราธอน หรือไตรกีฬา เป็นความท้าทายในชีวิตของผู้ที่ลงแข่งทุกคนรวมถึงเมจิเอง แต่เธอผ่านมาได้อย่างปลอดภัยด้วยเชื่อว่าทำได้อย่างเดียวไม่พอ ต้องดึงตัวเองไปซ้อมทุกวัน เพื่อสร้างความพร้อมให้ร่างกายและทำให้ความกลัวลดลง วิธีคิดแบบนี้ทำให้ผู้หญิงที่เคยกลัวว่ายน้ำอย่างเมจิ สามารถว่ายกลางทะเลท่ามกลางพายุได้ เธอว่ายไปกลับกลางทะเล 6 กม.ในปีที่แล้ว “เมื่อมีความเชื่อแล้วก็ต้องซ้อมจนชิน ชำนาญ แล้วก็มีทักษะ เวลาจะแข่งขันต้องใช้ทักษะและสัญชาตญาณนำหน้า”
ไม่พอเมจิ บอกว่าต้องมีสติ ด้วยเพราะในสนามไตรกีฬามหาโหดอย่าง ไอรอนแมน หรือสนามวิ่งฟูลมาราธอน 42.195 กม. หลายๆ สนามทั้งในและต่างประเทศ ที่เธอผ่านมาแล้วนั้น เมจิ บอกว่าทุกสนามทุกคนล้วนมั่นใจว่าทำได้ ทุกคนมีใจเกินกาย แต่หากไม่ทำการบ้านมาดีจะจบลงด้วยความสะบักสะบอม บางคนเป็นฮีทสโตรก ไตพัง สะโพก สะบ้าเข่าพัง หรือบางคนจบลงด้วยชีวิต ดังนั้นเชื่ออย่างเดียวไม่พอต้องซ้อมเพื่อพาเราไปในจุดที่เอื้อมถึงนั้นด้วย
สำหรับเธอแล้วการผ่านเส้นชัยไม่กี่วินาทีจึงไม่สำคัญเท่ากับกระบวนการตลอดเส้นทางแห่งการเรียนรู้ แต่ละสนามกีฬาของเมจิจึงเป็นสนามฝึกทั้งสติ แล้วก็กล่อมเกลาจิตตัวเองไปในตัว อย่างเบอร์ลินมาราธอน สนามวิ่งระยะ 42.195 กม.ที่เมจิจะเดินทางไปเข้าร่วมการแข่งขันในเดือนกันยายน 2565 นี้ เป็นอีกสนามที่เมจิผ่านการซ้อมทุกวัน และสนามนี้จะเป็นสนามตกผลึกกับชีวิตนักกีฬาของเธอด้วย เมจิ บอกว่า จะเป็นการวิ่งชมบ้านชมเมือง วิ่งด้วยความสนุก เพื่อให้เธอได้เปิดตามองเห็นบรรยากาศ และสีสันที่สวยงาม แล้วก็เป็นอีกสนามที่เธอจะได้อะไรๆ จากนักวิ่งที่บกพร่องทางร่างกาย “หากมุ่งแต่แข่งขันให้ได้เหรียญจะมองไม่เห็นอะไรเลย มีแต่อะดรีนาลีนนักรบที่พุ่งออกมา”
แล้วเธอก็ต้องการไปเรียนรู้การทำงานของสนามใหญ่ๆ เพื่อนำมาปรับใช้กับ “MJ & Hard Rock AQUATHLON 2023” วันที่ 14 มกราคม 2566 สนามวิ่ง บวกว่ายน้ำ ปีที่ 2 หน้าหาด Hard Rock Pattaya ซึ่งเธอทุ่มเททำด้วยมือตัวเองหลังจากปีแรกได้รับเสียงตอบรับด้วย “เราต้องการให้สนามนี้เป็นโรล โมเดลสไตล์เฉพาะ เป็นสนามที่สนุก และอบอุ่น สร้างความแปลกใหม่ มาช่วยกระตุ้นการทำงานให้สังคมกีฬา สนามนี้จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ตลาดจัดการแข่งขันในประเทศในที่สุด เพราะ เราไม่ต้องการให้มีสนามแข่งขันวิ่งที่มีจำนวนมาก แต่ทำเหมือนๆ กันหมด”