back to top

เมื่อเผชิญกับความสูญเสีย จะก้าวข้ามไปได้อย่างไร

เหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา ทำให้หลายครอบครัวต้องเจอกับความสูญเสีย ทั้งจากฝ่ายทหารและประชาชน ความเศร้าโศกจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นักจิตวิทยาอธิบายว่า เมื่อเราสูญเสียสิ่งที่รัก ความคิดถึงจะเกิดขึ้นทันที แต่ในเมื่อสิ่งนั้นไม่มีอีกแล้ว ใจจึงหดหู่และเจ็บปวด โดยเฉพาะหากสิ่งที่เราสูญเสียคือ “คนที่เรารัก” ความคิดถึงจะยิ่งตอกย้ำให้รู้ว่าเขามีค่ามากแค่ไหน และเมื่อรู้ว่าเขาไม่มีอยู่แล้ว ความรู้สึกหดหู่ใจจึงยิ่งทวีคูณ นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “ความเศร้าโศก” จากการสูญเสียคนสำคัญในชีวิต

นักจิตวิทยา บอกว่า ความโศกเศร้า เป็นการตอบสนองแบบหนึ่งของคนเราต่อความสูญเสียซึ่งเราสามารถแสดงออกมาได้ทั้งทางพฤติกรรมภายนอกให้เห็น เช่น ร้องไห้ฟูมฟาย เหม่อลอย หรือเป็นพฤติกรรมภายในเช่น ความรู้สึกหวนหา คิดย้อนระลึกถึงวันคืนเก่า ซึ่งคนเราแต่ละคนย่อมมีการแสดงออกที่แตกต่างกันไป

ทั้งนี้ได้มีการศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกโศกเศร้า เพื่อเข้าใจความรู้สึกที่คนเราจะต้องเผชิญเมื่อต้องเสียคนที่รัก ซึ่งการทำความเข้าใจระยะของความเศร้าโศกนี้ จะช่วยให้เราสามารถเตรียมตัวเตรียมใจว่าจะต้องเผชิญกับอะไรบ้างเมื่อต้องเสียคนที่รักไป

สำหรับระยะของความเศร้าโศกนั้นมีอยู่ด้วยกัน 4 ระยะ

ระยะที่ 1 ไม่ยอมรับความจริง

เป็นช่วงต้นที่บุคคลเริ่มรับรู้ถึงการสูญเสีย การพลัดพรากที่เกิดขึ้น เมื่อต้องพรากจากคนที่รักที่เราอยากให้เขาอยู่กับเราไปนานๆ ปฏิกิริยาตอบสนองแรกที่ย่อมจะเกิดขึ้นก็คือ การพยายามไม่ยอมรับความจริงเกี่ยวกับการสูญเสีย

พฤติกรรมทั้งภายนอกภายในที่บุคคลแสดงออก เป็นพฤติกรรมที่แสดงมาจากความไม่เชื่อ ไม่ยอมรับความจริงเกี่ยวกับการสูญเสีย บางคนอาจจะมีการใช้วิธีที่เรียกว่า กลวิธีการยืดเวลา คือ พยายามขยายเวลาออก ให้ช่วงเวลาของการที่ไม่ต้องยอมรับและเผชิญกับความจริงนานออกไปเรื่อยๆ เช่น พยายามทำทุกอย่างให้เหมือนเดิม ซึ่งการไม่ยอมรับนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการความเศร้าโศก ที่จะช่วยให้บุคคลมีเวลาสำหรับฟื้นความรู้สึก และช่วยให้บุคคลมีเวลาในการเตรียมความพร้อมเพื่อทำใจยอมรับความจริง ว่าเราได้สูญเสียคนที่รักไปแล้วนั่นเอง เมื่อการยืดเวลา การไม่ยอมรับสิ้นสุดลง บุคคลจะเริ่มยอมรับความจริงเกี่ยวกับการสูญเสีย และจะเข้าสู่ระยะต่อไปของการสูญเสีย

ระยะที่ 2 เริ่มยอมรับความจริง

แม้ใจอยากจะปฏิเสธความจริงเท่าใดก็ตาม ว่าสิ่งที่เรารักยังอยู่กับเรา ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้น หากความจริงภายนอกที่มีการเปลี่ยนแปลงไปเข้ามากระทบ มาย้ำให้เรารับรู้อยู่ตลอดเวลาว่าเราเสียของรักไปแล้ว เมื่อมีความจริงมาปรากฏตรงหน้าเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง คนเราก็จะหันหน้ามาเผชิญกับความจริงว่าเราได้เสียของรักไปแล้วจริงๆ

ในตอนต้นของการยอมรับนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน คือความรู้สึกเจ็บปวด อาจถึงขั้นเจียนใจจะขาด เพราะต้องมายอมรับกับความจริงว่าต้องสูญเสียสิ่งที่เราไม่อยากให้สูญเสีย แต่ก็ต้องค่อยๆ ขยับใจให้มายอมรับกับความจริงที่แม้จะเจ็บปวด เพราะมันก็คือความจริง ซึ่งความรู้สึกเจ็บปวดนี้จะสามารถผ่านพ้นไปได้สักวันอย่างแน่นอน

ความรู้สึกเจ็บปวดในใจที่เกิดขึ้นจากการเริ่มต้นยอมรับความจริงเป็นอาการเบื้องต้นที่จะเกิดขึ้น บุคคลอาจแสดงออกถึงความเจ็บปวดที่ตนได้รับผ่านการร้องไห้คร่ำครวญ บางครั้งอาจมีการนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย บ้างก็อาจมีการคิดหมกมุ่นถึงสิ่งที่เราเสียไป ใจกลับไปคิดทบทวนถึงแต่เรื่องเก่าๆ ที่เคยผ่านมา

หากการสูญเสียเป็นการสูญเสียที่รุนแรงที่สุด คือ การจากกันเพราะคนที่เรารักไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว ในระยะของการเริ่มต้นยอมรับความจริงนี้ คนที่ต้องเจอกับความสูญเสียยังอาจมีการแสดงความโกรธ เนื่องจากความผิดหวังที่เกิดขึ้นจากความหวังว่าคนที่เราต้องสูญเสียไปนั้นจะยังมีชิวิตอยู่ หรือมีความโกรธต่อผู้ที่ทำหน้าที่รับผิดชอบ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการสูญเสียของเรา เมื่อบุคคลเข้าสู่ระยะของการเริ่มต้นยอมรับความจริง แม้ในระยะนี้บุคคลอาจจะมีอารมณ์รุนแรง เนื่องจากความจริงที่แสนจะเจ็บปวดนี้ แต่บุคคลก็จะพร้อมที่จะก้าวไปสู่ระยะต่อไปในที่สุด

ระยะที่ 3 ยอมรับความจริง

คือ ระยะที่คนเราจะมีการตระหนักและยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น โดยการยอมรับความจริงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบปุบปับ วันนี้ยังมีความโกรธต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น ร้องไห้ฟูมฟาย แล้ววันรุ่งขึ้นก็จะยอมรับความสูญเสียได้ การเปลี่ยนแปลงนี้บุคคลจะค่อยๆ ตระหนักถึงความสูญเสีย และยอมรับว่าความสูญเสีย การพรากจากคนที่เรารักนั้นได้เกิดขึ้นจริงแล้ว

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจากการตระหนักและยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นจะเป็นความเสียใจอย่างสุดซึ้ง เพราะสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราผูกพัน ย่อมเป็นสิ่งที่พึงใจ มีความสุขกับสิ่งนั้น อยากให้มีสิ่งนั้นอยู่กับเราตลอดไป เมื่อต้องมาเผชิญกับความจริงว่าไม่มีโอกาสที่คนรักของเราจะยังอยู่ ความรู้สึกเศร้า เสียใจอย่างสุดซึ้งย่อมจะเกิดขึ้นตาม ในบางครั้งอาจมีความรู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง มีอารมณ์ซึมเศร้า ไม่อยากทำอะไร หมดแรง หมดกำลังใจ หมดความสนใจต่อสิ่งต่างๆ ในชีวิต

อารมณ์เหล่านี้บางครั้งอาจส่งผลตามมาต่ออาการทางกายของเราด้วย บางทีอาจเกิดอาการนอนไม่หลับ ไม่อยากอาหาร ซึ่งนักจิตวิทยาย้ำว่า การยอมรับความจริงนี้เป็นสิ่งดี ยอมรับว่าเราจะไม่มีสิ่งที่เราเคยรัก เคยผูกพันอยู่แล้ว ทั้งนี้อาการทางใจและทางกายที่เกิดขึ้น เป็นกลไกของมนุษย์ที่พยายามเหนี่ยวรั้งให้สิ่งที่รักอยู่กับตัวเราให้นานที่สุด เมื่อไม่ได้ ใจของเราก็ยากที่จะยอมรับมันโดยง่าย ซึ่งสิ่งที่เป็นความคาดหวังในตัวเราจัดการได้ยากที่สุด

ทั้งนี้เราต้องเห็นตัวเองก่อนว่าตัวเราทุกข์ เศร้าใจ หมดแรงใจ หมดแรงกาย เพื่อให้จัดการกับมันได้ และเราก็จะผ่านระยะของการยอมรับความจริงนี้ไปได้ ไปสู่ระยะสุดท้ายของความเศร้าโศกได้

ระยะที่ 4 กลับเข้าสู่ภาวะปกติ

กว่าจะเดินทางมาถึงระยะสุดท้ายนี้ไม่ใช่ง่ายๆ บุคคลจะต้องต่อสู้กับความรู้สึกท้วมท้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการหนีจากความรู้สึก หรือความจริงที่ต้องเผชิญ อารมณ์เจ็บปวดเสียใจ อารมณ์เศร้า หวนหา อยากมีคนที่เรารักอยู่กับตัวเรา แต่ทุกความรู้สึกที่ยากลำบากเป็นเหมือนกับก้อนหินแต่ละก้อนที่ช่วยให้เรารู้จักและยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นในชีวิต และก้าวข้ามมาสู่ก้อนหินก้อนสุดท้ายก่อนจะข้ามถึงฝั่งนั้นก็คือ การกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

การกลับเข้าสู่ภาวะปกติ คือ การที่บุคคลที่ต้องสูญเสียหรือพรากจาก สามารถเริ่มที่จะปรับตัวเอง และจัดระบบระเบียบในการดำเนินชีวิตใหม่ ปรับบทบาทของตนเองใหม่ ให้เข้ากับการที่ต้องอยู่โดยไม่มีคนที่รักนั้นแล้วซึ่งบางคนกว่าจะเดินมาถึงขั้นสุดท้ายนี้ได้ อาจต้องใช้เวลาเป็นปี หรือหลายปี

ทั้งนี้การที่เราจะสามารถปรับตัวเองและกลับเข้ามาสู่ภาวะปกติได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับใจของเราเป็นหลัก คนรอบตัวเป็นได้เพียงกำลังใจ ซึ่งกำลังใจนี้อาจช่วยให้เรามีแรงมากขึ้นที่จะพยายาม แต่คนที่ต้องพยายามก็คือตัวเราเอง และการกลับเข้าสู่ภาวะปกติ จะเกิดขึ้นเมื่อเรายอมรับ ทั้งด้วยเหตุผลและด้วยจิตใจของเราได้ว่า เราไม่มีสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราพึงใจแล้ว และการเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้เกิดขึ้นจริงๆ เราสามารถเสียใจ ร้องไห้ ซึมเศร้า แต่ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไร มากมายแค่ไหน คนที่เรารักก็จะไม่กลับมาแล้ว แม้ว่าความจริงจะเป็นสิ่งที่เจ็บปวด แต่การยอมรับความจริงอย่างหมดหัวใจเป็นหนทางเดียวที่เราจะกลับมาสู่ภาวะปกติได้

เข้าใจธรรมชาติของการสูญเสีย

สิ่งที่ยากก็คือการยอมรับความจริง การช่วยให้ปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติได้ นั่นก็คือ หากยอมรับได้ว่า “สิ่งต่างๆ ในชีวิตไม่มีอะไรอยู่กับเราอย่างถาวรเลย มันมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ เป็นกฎของธรรมชาติ เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เราไม่สามารถเปลี่ยนกฎของธรรมชาติได้”

วันหนึ่งเรามีคนที่รัก คนที่เราผูกพัน แต่อีกวันหนึ่งก็ย่อมจะไม่มีได้ เพราะ การเปลี่ยนแปลงเป็นกฎของธรรมชาติ หากสามารถเริ่มต้นมองการเปลี่ยนแปลง การต้องพรากจากสิ่งที่รักว่าเป็นส่วนหนึ่งของกฎธรรมชาติแล้วก็สามารถค่อยๆ ยอมรับความจริงได้ แม้การที่คนที่เรารักจะหายไป ย่อมทำให้มีความทุกข์ใจ ทุกข์กายเกิดขึ้น แต่หลักธรรมชาติที่เราเข้าใจจะช่วยให้กลับมาสู่ภาวะปกติได้เร็ว แล้วยอมรับกับสิ่งที่เกิดได้

อ้างอิง : บทความจากสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ – วิทยุจุฬาฯ FM 101.5 MHzโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ แขนงวิชาจิตวิทยาการปรึกษา คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย