บางครั้งเราก็เหมือนยื้อๆ อะไรบางอย่างแม้จะเหนื่อยล้าเต็มที่ เหตุผลอะไรที่เราต้องทำอย่างนั้น เบื้องหลังเหตุผลที่จะมาอธิบายกันนั้น ไม่ได้พุ่งเป้าเรื่องความรักเป็นหลัก งานนี้นักเศรษฐศาสตร์ Rolf Dobelli ผู้เขียนหนังสือ “52 วิธีคิดให้ได้อย่างเฉียบคม” The Art of Thinking Clearly นำหลักว่าด้วย “ต้นทุนจม” มาจับ
เขาอธิบายว่า ขณะที่เรากำลังเสียเงินค่าตั๋วไปดูหนัง แม้หนังจะห่วย เราก็ต้องดูจนจบ หรือเวลาจะเดินหน้าโครงการใดก็ตาม ทำมา 4 เดือนแล้วได้ผลลัพธ์ไม่เป็นที่น่าพอใจ บางคนอยากเลิก แต่เลิกไม่ได้ เพราะมักจะมีการทักท้วงว่า “เราลงทุนกับมันมากไปแล้ว ถ้าหยุดตอนนี้ ก็เท่ากับทุกอย่างที่ทำมาเสียเปล่าน่ะสิ” แบบนี้แหละที่ผู้เขียนเรียกว่า “เป็นเหยื่อของเหตุผลวิบัติที่ว่าด้วยต้นทุนจม”
อีกเหยื่อที่ชัดเจน คือนักลงทุน เวลาจะตัดสินใจขายหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง มักจะอิงกับราคาที่ซื้อมา จะขายต่อเมื่อได้ราคาสูงกว่าเท่านั้น ในความคิดของ Rolf Dobelli เขาเห็นว่าราคาหุ้นตอนที่ซื้อไม่ควรเข้ามามีบทบาทในการตัดสินใจ เพราะสิ่งสำคัญ คือ ผลตอบแทนในอนาคตของหุ้นตัวนั้นต่างหาก รวมถึงผลตอบแทนจากการนำหุ้นตัวนั้นไปลงทุนในช่องทางอื่นๆ ด้วย เรื่องตลกร้ายในมุมผู้เขียน ก็คือ “ยิ่งขาดทุนจากหุ้นตัวนั้นมากเท่าไหร่ นักลงทุนก็ยิ่งมีแนวโน้มจะเก็บไว้มากขึ้นเท่านั้น”
นั่นเพราะต้องการดูเป็นคนแน่วแน่ในสายตาคนส่วนใหญ่ ซึ่งความแน่วแน่นี้สะท้อนความน่าเชื่อถือ ตรงข้ามกับความโลเล ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ ดังนั้นเมื่อต้องตัดสินใจยกเลิกโครงการกลางคัน คนอื่นจะมองว่าเราเป็นคนโลเล ก็เลยตัดสินใจเดินหน้าโครงการที่ไร้ความหมายต่อไปเพื่อชะลอความเจ็บปวด และเพียงต้องการทำให้คนอื่นมองว่าเป็นคนแน่วแน่ในสิ่งที่ตัดสินใจไปแล้ว
ผู้เขียน ยกตัวอย่างโครงการพัฒนาเครื่องบินคองคอร์ดที่เกิดจากการร่วมทุนระหว่างรัฐบาลอังกฤษกับฝรั่งเศส แม้รัฐบาลทั้งสองประเทศจะรู้มานานแล้วว่าธุรกิจอากาศยานความเร็วเหนือเสียงจะไม่มีทางไปรอด แต่ยังทุ่มทุนมหาศาลต่อไป เพียงเพราะต้องการรักษาหน้าเอาไว้ หากจะยกเลิกโครงการก็เท่ากับพ่ายแพ้ ทำให้คนเรียกเหตุผลวิบัติว่าด้วยต้นทุนจมว่า “ปรากฏการณ์คองคอร์ด”
หรือในสงครามเวียดนามก็เป็นตัวอย่างได้เช่นกัน จากการที่สหรัฐเข้าไปพัวพันกับสงครามเวียดนามชนิดถอนตัวไม่ขึ้น เพราะเหตุที่ว่า “เราเสียทหารไปแล้วมากมาย จะมายอมแพ้เอาตอนนี้ไม่ได้”
เพราะเรามาตั้งไกลขนาดนี้แล้ว หรือฉันอ่านหนังสือเล่มนี้ไปตั้งเยอะแล้ว หรือเรียนหลักสูตรนี้มาตั้ง 2 ปีแล้ว หากเราคุ้นๆ กับความคิดทำนองนี้ นั่นหมายความว่าเหตุผลวิบัติที่ว่าด้วยต้นทุนจมกำลังทำงานอยู่ในซอกหลืบของเรา
แน่นอนว่า บางครั้งเราก็มีเหตุผลดีพอที่จะทุ่มเทให้กับบางสิ่งต่อไปจนมันสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา แต่ให้ระวังเวลาที่ตัวเองหาเหตุผลผิดๆ มารองรับการเดินหน้าต่อไปทั้งที่ไม่มีทางทำได้อย่างที่คิดในตอนแรกแล้ว
เอามาใช้กับความรักกันบ้าง หลายคู่พยายามประคับประคองความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่มานานหลายปี อาจมีการนอกใจกันหลายต่อหลายครั้ง เมื่อสำนึกผิด ก็ให้อภัยกันมา หรือเริ่มจูนในเรื่องสำคัญๆ กันไม่ติด แม้การคบกันต่อไปจะดูไร้อนาคต แต่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอาจมองว่า “ทุ่มเทให้กับความสัมพันธ์ครั้งนี้ไปมากเหลือเกิน หากจะเลิกคงเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด” ก็เลย “ลากยาว” กันมา ไหนๆ เราได้นำหลักเศรษฐศาสตร์มาจับกันแล้ว นำต้นทุนจมมาจับในเรื่องความรักกันบ้างเผื่อจะมีทางออก ทั้งสองฝ่ายอาจลองประเมินกันเมื่อถึงจุดที่ความสัมพันธ์กำลังเดินไปในอุโมงค์ที่มีแสงริบหรี่ๆ โดยให้เปรียบเทียบทางเลือกกันอย่างจริงจัง ระหว่างเดินคู่กันต่อไป กับการสละเรือตอนนี้แล้วต่างเดินคนเดียว หรือหาคู่เดินกันใหม่ ทางเลือกไหนจะได้ผลคุ้มค่ากับทรัพยากรที่จะเสียต่อไปในอนาคต? (ทรัพยากรที่ว่ารวมพลังงานและเวลา)
เหตุผลวิบัติว่าด้วยต้นทุนจมจะส่งผลรุนแรงที่สุดเมื่อเราได้ทุ่มเทเวลา เงินทอง พลังงาน หรือความรักไปมากมายให้กับบางสิ่ง และการทุ่มเทก็กลายเป็นเหตุผลที่ทำให้เรายังคงเดินหน้าต่อไปแม้ว่ามันจะดูไร้ประโยชน์แค่ไหนก็ตาม ยิ่งทุ่มเทไปมากเท่าไหร่ ต้นทุนจมก็ยิ่งทรงพลังมากเท่านั้น เป็นแรงผลักให้เรายังทำต่อไป
จงลืมอดีตเสีย…ถึงเวลาต้องตัดสินใจอย่างมีเหตุผล และปล่อยวางการขาดทุนทั้งหมดที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้ เพราะสิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าลงทุนเท่าไหร่ แต่อยู่ที่ว่าประโยชน์จะได้กลับคืนมาในอนาคตมีมากแค่ไหนต่างหาก…
Total Visit : 35708