back to top

โบท็อกซ์คืออะไร? อันตรายจริงหรือแค่เข้าใจผิด

การฉีดโบท็อกซ์ (BOTOX) เป็นการเสริมความงามที่เป็นที่นิยม แต่เราก็มักได้ยินข่าวผลของอาการข้างเคียงของผู้ที่เคยได้รับการฉีดไม่น้อย จริงๆ แล้วมีผลเสียอย่างไร และทำโดยไม่มีผลข้างเคียงมีหรือไม่  

“โบท็อกซ์” เป็นชื่อทางการค้าของสาร “โบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ” (Botulinum toxin A) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่สร้างจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium botulinum) ที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษแก่มนุษย์ หากได้รับในปริมาณมากๆ เช่น จากอาหารกระป๋องที่ปนเปื้อนด้วยเชื้อตัวนี้ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ จากการที่กล้ามเนื้อกะบังลมไม่ทำงาน ผู้ป่วยจึงหยุดหายใจ ในปัจจุบันสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ ที่ใช้ในประเทศไทยผลิตจาก 2 บริษัท คือ โบท็อกซ์ (BOTOX®) และดีสพอร์ต (Dysport®)

โบทูลินั่ม ท็อกซิน ออกฤทธิ์โดยการไปจับกับส่วนปลายของเซลล์ประสาท ทำให้เซลล์ประสาทไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาทได้ เป็นผลให้กล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัวได้ หรือเกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อนั่นเอง โดยจะเกิดผลเฉพาะกล้ามเนื้อมัดที่ได้รับการฉีด เริ่มออกฤทธิ์ภายใน 2-3 วัน เห็นผลสูงสุดใน 1-2 สัปดาห์ และมีฤทธิ์อยู่ได้นาน 3-4 เดือน หลังจากนั้นกล้ามเนื้อจะค่อยๆ กลับมาหดตัวได้เหมือนเดิม เนื่องจากฤทธิ์ที่ไม่ถาวรนี้เองจึงทำให้ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาซ้ำ หากต้องการคงสภาพของผลการรักษา

สำหรับการฉีดสารชนิดนี้ มีข้อควรปฏิบัติ ดังนี้ 1. ไม่ควรนอนราบ ในช่วง 3-4 ชั่วโมงหลังการรักษา 2. ห้ามนวดในบริเวณที่ทำการรักษา เนื่องจากอาจทำให้ยากระจายไปยังบริเวณที่ไม่ต้องการรักษาได้ 3. มาพบแพทย์ตามนัดเพื่อประเมินผลการรักษา เมื่อพบความผิดปกติใดเกิดขึ้น ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อที่จะได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง

ผลข้างเคียงของการใช้โบทูลินั่ม ท็อกซิน หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้ร่างกายเกิดการสร้างภูมิต้านทานต่อโบทูลินั่ม ท็อกซินได้ จากสถิติของสหรัฐอเมริกาที่รวบรวมผู้ป่วยที่ได้รับการฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซิน จำนวนมาก พบว่าไม่มีอันตรายถึงชีวิตเมื่อใช้โดยผู้เชี่ยวชาญและใช้ฉีดเพื่อเสริมความงาม 

อย่างไรก็ตามผลข้างเคียงจากการฉีดที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ อาการปวดศีรษะหรือความรู้สึกเจ็บๆ คันๆ (พบประมาณ 2.5%) รอยช้ำจากการที่เข็มฉีดยาทำให้เกิดความบาดเจ็บต่อหลอดเลือด มักเกิดบริเวณหางตา อาการคิ้วหรือหนังตาตก (มีโอกาสเกิด 1-3%) อาการปวดบวมบริเวณที่ฉีด (2.5%) กล้ามเนื้ออ่อนแรงเฉพาะที่ (1.7%) ซึ่งผลข้างเคียงเหล่านี้มักเป็นเล็กน้อยหรือปานกลาง และมักหายไปเองใน 1-2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงจะลดลงมาก หากได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้มีความรู้ความชำนาญ และผู้ป่วยจะต้องดูแลและปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดระหว่างรับการรักษา

ทั้งนี้สามารถรักษาด้วยโบทูลินั่ม ท็อกซินต่อเนื่องได้เท่าที่ต้องการคงสภาพผลการรักษา โดยทั่วไปมักทำการรักษาซ้ำทุก 3-6 เดือนหรือนานกว่านี้ ขึ้นกับการทำงานของกล้ามเนื้อที่ต้องการรักษา สำหรับกรณีที่เกิดภูมิต้านทานขึ้น อาจทำให้ฤทธิ์สั้นลงและอาจต้องใช้ปริมาณยาเพิ่มขึ้นในการรักษา

อย่างไรก็ตามอีกด้านหนึ่ง โบทูลินั่ม ท็อกซินไม่ใช่แค่ช่วยด้านความงามในการรักษาริ้วรอยที่เกิดจากการขยับกล้ามเนื้อที่บริเวณใบหน้าและลำคอแล้ว แพทย์ยังใช้โบทูลินั่ม ท็อกซินในการรักษาภาวะต่างๆ ดังนี้

1. ภาวะความผิดปกติที่เกิดจากการทำงานมากเกินของกล้ามเนื้อ เช่น ตาเข (Strabismus) หนังตากระตุก (Blepharospasm) กล้ามเนื้อคอเกร็งตัว (Cervical dystonia) 

2. การปวดศีรษะแบบไมเกรน (Migrain) หรือ การปวดศีรษะจากความเครียด (Tension)

3. ภาวะกล้ามเนื้อหลังอักเสบเรื้อรัง (Myofascial pain)

4. ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis) 

ส่วนข้อห้ามฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซิน มี 2 ข้อดังนี้

1. มีความผิดปกติทางกล้ามเนื้อและระบบประสาท เพราะอาจมีอาการแย่ลง เช่น โรค Myasthenia gravis หรือโรค Amyotrophic lateral sclerosis

2. กำลังตั้งครรภ์ / อยู่ในระหว่างให้นมบุตร แม้ไม่เคยมีรายงานถึงอันตรายที่เกิดขึ้นแก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ แต่เนื่องจากไม่มีข้อมูลเพียงพอว่าปลอดภัยจึงควรหลีกเลี่ยงการรักษา

ดังนั้นการรักษาด้วยโบทูลินั่ม ท็อกซินจะปลอดภัยต่อเมื่อเป็นการรักษาโดยแพทย์ที่มีความรู้ความชำนาญ เพื่อการรักษาโรคหรือภาวะที่มีข้อบ่งชี้ ให้แก่ผู้ป่วยที่ไม่มีข้อห้ามในการใช้ 

ที่มา : อ.พญ.ศศิมา เอี่ยมพันธุ์ ผศ.พญ.รังสิมา วณิชภักดีเดชา รศ.นพ.วรพงษ์ มนัสเกียรติ ศูนย์เลเซอร์ผิวหนังและศัลยกรรมผิวหนัง ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล