หน้าหนาวมาเยือนอีกปีแล้ว โรคและภัยสุขภาพก็มาเช่นกัน กรมควบคุมโรคได้ประกาศโรคและภัยสุขภาพในช่วงฤดูหนาวของประเทศไทยประจำปี 2568 เพื่อให้ประชาชนตระหนักและระมัดระวังโรคดังต่อไปนี้
โรคติดต่อทางระบบหายใจ
- โรคไข้หวัดใหญ่
ซึ่งเชื้อโรคสามารถแพร่กระจายเชื้อจากคนสู่คนได้ผ่านการหายใจเอาละอองฝอยจากน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วยที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เข้าไป หรือจากการที่มือไปสัมผัสน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วยตามสิ่งของเครื่องใช้แล้วนำมาสัมผัสกับจมูก ตา หรือปากของตนเอง
โดยผู้ป่วยจะมีไข้สูงเฉียบพลัน หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย เจ็บคอ มีน้ำมูก ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายเองได้ แต่จะมีบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนและอาการรุนแรง เช่น ผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุ
- โรคปอดอักเสบ
การติดต่อของโรคขึ้นกับชนิดของเชื้อก่อโรค ส่วนใหญ่แพร่ผ่านละอองฝอยทางเดินหายใจจากการไอ จามของผู้ป่วย และจากการสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ แล้วนำมาสัมผัสปาก จมูก หรือตา ขณะที่บางครั้งอาจเกิดจากการสำลัก หรือติดเชื้อจากสิ่งแวดล้อม หรืออากาศที่ปนเปื้อนเชื้อ
อาการของผู้ป่วยมักมีไข้ ไอ และหายใจหอบเหนื่อย ซึ่งอาการดังกล่าวมักเป็นเฉียบพลัน การวินิจฉัยมักใช้อาการทางคลินิกร่วมกับภาพถ่ายเอกซเรย์ปอดที่ผิดปกติ ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมักมีภาวการณ์หายใจล้มเหลวเฉียบพลันและเสียชีวิตได้
- โรคติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี (RSV)
โรคนี้สามารถติดต่อผ่านการสัมผัสการคัดหลั่งของผู้ที่ติดเชื้อหรือวัตถุที่มีการปนเปื้อน โดยเชื้อไวรัสจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อบุตา จมูก ปาก หรือผ่านการหายใจเอาละอองเสมหะของผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวีเข้าไป ระยะฟักตัว 2-8 วัน โดยส่วนใหญ่เฉลี่ย 4-6 วัน
ทั้งนี้ ปกติผู้ป่วยจะแสดงอาการหลังสัมผัสถูกเชื้อไวรัสในระยะ 4-6 วัน ผู้ติดเชื้อจะมีอาการตั้งแต่อาการเพียงเล็กน้อย เช่น มีน้ำมูก คัดจมูก กินได้น้อยลง ไอ จาม ไข้ หายใจมีเสียงหวีด จนถึงอาการรุนแรง เช่น หายใจเร็ว หอบเหนื่อย หายใจลำบาก จากภาวะปอดอักเสบหรือหลอดลมฝอยอักเสบ หรือซึมลง การวินิจฉัยทำได้โดยตรวจหาเชื้อไวรัสจากสารคัดหลั่งทางเดินหายใจ
การรักษาส่วนใหญ่เป็นการรักษาตามอาการ ยังไม่มียาต้านไวรัสที่จำเพาะ สำหรับวัคซีนป้องกันการติดเชื้ออาร์เอสวีปัจจุบันเป็นวัคซีนทางเลือก สำหรับให้บริการในกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปหรือผู้มีโรคประจำตัว หรือหญิงตั้งครรภ์ ส่วนภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปใช้ป้องกันในเด็กเล็กและกลุ่มเสี่ยง เพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี ลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง หรือเสียชีวิต
- โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
สามารถติดต่อจากคนสู่คนผ่านระบบทางเดินหายใจได้โดยตรง ด้วยการหายใจเอาละอองฝอยของน้ำมูก หรือน้ำลายที่ผู้ป่วยปล่อยมาในอากาศขณะหายใจ พูด ไอ หรือจามเข้าไป โดยเฉพาะพื้นที่แออัด ระบายอากาศได้ไม่ดี นอกจากนี้เชื้อยังสามารถแพร่กระจายทางอ้อมได้โดยการสัมผัสสิ่งของหรือพื้นผิวที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น ลูกบิดประตู หรือราวบันได เป็นต้น แล้วนำมือไปสัมผัสตา จมูก หรือปาก ให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายได้
อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ ไข้ ไอ และเจ็บคอ ส่วนอาการอื่นๆ ที่อาจพบได้ เช่น อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ท้องเสีย ตาแดง และการสูญเสียการรับกลิ่นหรือรส แม้ว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรง แต่บางรายอาจมีอาการรุนแรง เช่น หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ภาวะปอดอักเสบ ภาวการณ์หายใจล้มเหลวเฉียบพลัน หรือรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว
หากมีไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย อาจตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจ ATK รักษาระยะห่างจากผู้อื่น ไม่ไปในสถานที่แออัด สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา หากมีอาการรุนแรง เช่น หายใจหอบเหนื่อย ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนโควิด 19 ยังมีความสำคัญและมีประโยชน์ในการลดความรุนแรงของโรค ลดการเสียชีวิต และลดการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล
โรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำ
- โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน
เกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ไม่สะอาด มีการปนเปื้อนเชื้อโรค รวมถึงการล้างมือไม่สะอาดก่อนการปรุงหรือรับประทานอาหาร อีกทั้งอาจเกิดจากการสัมผัสสิ่งของเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนเชื้อโรคแล้วนำมือหรือสิ่งนั้นเข้าสู่ปาก ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย
อาการผู้ป่วยจะมีอาการถ่ายเหลว หรือถ่ายเป็นน้ำ หรือถ่ายมีปนมูกเลือด อาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง มีไข้ หรือมีภาวะขาดน้ำ สำหรับเด็กเล็กมีวัคซีนพื้นฐานสำหรับการป้องกันไวรัสโรต้าในเด็กเล็ก โดยควรได้รับ 2 หรือ 3 ครั้ง ขึ้นอยู่กับชนิดของวัคซีน สามารถเข้ารับวัคซีนตั้งแต่อายุ 2 เดือน
โรคติดต่อนำโดยแมลง
- โรคสครับไทฟัส หรือโรคไข้สาดใหญ่
เป็นโรคติดต่อระหว่างสัตว์ป่าในตระกูลสัตว์ฟันแทะ โดยทั่วไปเชื้อริกเก็ตเซียที่อยู่ในสัตว์ฟันแทะจะไม่ทำให้สัตว์นั้นมีอาการของโรค แต่โรคนี้สามารถติดต่อมาสู่คนได้โดยถูกไรอ่อนที่มีเชื้อกัด ซึ่งคนติดเชื้อดังกล่าวได้โดยบังเอิญ
อาการผู้ป่วยจะมีอาการไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดกระบอกตา ไอแห้ง ตาแดง ต่อมน้ำเหลืองโต โดยเฉพาะบริเวณที่อยู่ใกล้แผลที่ถูกไรอ่อนกัด อาจมีผื่นลักษณะนูนแดงละเอียดตามตัว ซึ่งกระจายไปยังแขน ขา ภายหลังมีไข้ 4-5 วัน ลักษณะเฉพาะของโรค คือ ผิวหนังที่ถูกไรอ่อนกัด อาจพบแผลบุ๋มสีดำรูปร่างกลมออกรี ขอบนูนเรียบ ไม่เจ็บ ลักษณะคล้ายถูกบุหรี่จี้ แผลมักอยู่บริเวณที่อับชื้น ในร่มผ้า ข้อพับ รักแร้ ขาหนีบ เอว อวัยวะเพศ เป็นต้น หากมีภาวะแทรกซ้อน อาจทำให้มีอาการรุนแรงจนนำไปสู่การเสียชีวิตได้
- โรคไข้มาลาเรีย
ติดต่อได้ผ่านการถูกยุงก้นปล่องตัวเมียกัด โดยเริ่มจากยุงก้นปล่องกัดผู้ป่วยที่มีเชื้อไข้มาลาเรีย จากนั้นเชื้อจะเข้าไปเจริญเติบโตในตัวยุงประมาณ 10-12 วัน และไปอาศัยอยู่ในต่อมน้ำลายของยุง เมื่อยุงก้นปล่องตัวดังกล่าวไปกัดผู้อื่นก็จะปล่อยเชื้อไข้มาลาเรียจากต่อมน้ำลายสู่คน หลังจากยุงกัดประมาณ 10-14 วัน ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการ ทั้งนี้เคยมีรายงานการติดเชื้อจากคนสู่คนผ่านการรับเลือด การปลูกถ่ายอวัยวะ และจากมารดาสู่ทารกในครรภ์ แต่พบได้น้อยมาก
โดยทั่วไปผู้ป่วยจะมีอาการนำคล้ายไข้หวัด คือ มีไข้ ปวดศีรษะ แต่ไม่มีน้ำมูก ปวดเมื่อยตามตัวและกล้ามเนื้อ อาจมีอาการคลื่นไส้ และเบื่ออาหาร โดยอาการเหล่านี้อาจเป็นอยู่ระยะสั้นหรือหลายวัน ขึ้นอยู่กับชนิดเชื้อมาลาเรียที่ได้รับ อาการเด่นชัดประกอบด้วย 3 ระยะ คือ ระยะหนาว ผู้ป่วยจะมีอาการหนาวสั่น ปากและตัวสั่น ซีด ผิวหนังแห้งหยาบ เป็นระยะที่เม็ดเลือดแดงแตก ระยะร้อน ผู้ป่วยจะมีไข้สูง อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ตัวร้อนจัด หน้าแดง กระหายน้ำ และระยะเหงื่อออก ผู้ป่วยจะมีเหงื่อออกจนชุ่ม หลังจากนั้นจะอ่อนเพลีย และหายไข้เหมือนคนปกติ จากนั้นจะมีไข้ใหม่วนเวียนไป
ภัยสุขภาพ
- การเสียชีวิตที่เกี่ยวเนื่องกับภาวะอากาศหนาวสามารถเกิดขึ้นได้ ควรเตรียมความพร้อมด้วยการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม ฝรั่ง มะเขือเทศ เป็นต้น และเครื่องดื่มที่ให้ความอบอุ่นกับร่างกาย และให้สวมใส่เครื่องนุ่มห่มที่เพียงพอรักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ ทั้งนี้กลุ่มเสี่ยงต้องดูแลตนเองเป็นพิเศษ
- การขาดอากาศหายใจ และการสูดดมแก๊สพิษจากอุปกรณ์ที่ใช้เพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกายจากเครื่องทำน้ำอุ่นแบบใช้ระบบแก๊ส ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เจ้าของโรงแรมที่พักที่มีการใช้เครื่องทำน้ำอุ่นแบบใช้ระบบแก๊ส ควรมีการตรวจสอบคุณภาพ มาตรฐาน และบำรุงรักษาเครื่องทำน้ำอุ่นที่ใช้ระบบแก๊สอยู่เสมอ กลุ่มที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ระบบทางเดินหายใจควรระมัดระวังมากขึ้นในการใช้ห้องน้ำที่มีเครื่องทำน้ำอุ่นแบบใช้ระบบแก๊ส เพราะหากได้รับแก๊สดังกล่าวจะเสียชีวิตได้ง่ายกว่ากลุ่มอื่น
ที่มา : กรมควบคุมโรค
