back to top

SEhRT กลไกสำคัญของกรมอนามัย รับมือวิกฤตสุขภาพทั่วประเทศ

ตอนนี้เราไม่อาจบอกได้ว่าพื้นที่ไหนปลอดภัย 100% การรับมือกับภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขอย่างมีประสิทธิภาพเป็นเรื่องที่มีความสำคัญสูงสุดของทุกประเทศในเวลานี้ กรมอนามัยจึงได้สร้างทีมปฏิบัติการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม รองรับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข หรือทีม SEhRT (Special Environmental Health Response Team) โดยขยายผลอย่างจริงจังเมื่อเดือนมกราคม 2567 เป้าหมายให้มีทีม SEhRT ทั่วประเทศ เพื่อตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉินทุกกรณี โดยอาศัยความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายทุกระดับ ทั้งจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ โรงพยาบาล และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล

บทบาทของทีม SEhRT คือการตอบสนองและแก้ไขปัญหาด้านภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข รวมถึงการสื่อสารเชิงรุก ตอบโต้ข่าว เพื่อลดผลกระทบหรือยุติสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนจัดระบบรายงานข้อมูลสถานการณ์ต่อผู้บริหารอย่างรวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์

ล่าสุด ทีม SEhRT มีบทบาทสำคัญในการเข้าไปวางระบบฟื้นฟูการดูแลสุขภาพ สุขอนามัย และสุขาภิบาลให้กับประชาชนในศูนย์พักพิงจากการสู้รบบริเวณแนวชายแดนไทย–กัมพูชา รวมถึงอุทกภัยครั้งใหญ่ที่อำเภอหาดใหญ่ โดยได้มีการถอดบทเรียนเพื่อนำมาปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดการของทีม SEhRT ให้สามารถรับมือกับภาวะฉุกเฉินได้ดียิ่งขึ้น

พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย ระบุว่า ภัยพิบัติอาจเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบ ทั้งโรคระบาด ภัยธรรมชาติ และสถานการณ์ที่เกิดจากมนุษย์ จึงต้องมีการประสานทุกหน่วยงานแบบบูรณาการ เพื่อระดมความช่วยเหลือและการเฝ้าระวังด้านสุขาภิบาลอาหาร น้ำ และอนามัยสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ สะท้อนถึงบทเรียนสำคัญของการทำงานร่วมกันระหว่างบุคลากรสาธารณสุข หน่วยงานในพื้นที่ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทำให้การดูแลประชาชนเป็นไปอย่างรวดเร็ว ต่อเนื่อง และลดความเสี่ยงด้านสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์

ในส่วนของสถานการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ ทีม SEhRT ได้ลงพื้นที่เพื่อปฏิบัติการฟื้นฟูพื้นที่ เพื่อลดความเสี่ยงด้านสุขภาพและสร้างความมั่นใจให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยอีกครั้ง ควบคู่กับการดูแลกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะเด็กปฐมวัย ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภาวะเสี่ยงทางสุขภาพ โดยดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานสาธารณสุขและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ เพื่อสำรวจ ประเมิน และเฝ้าระวังความเสี่ยงด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมในชุมชนเมืองและพื้นที่สาธารณะ ให้ความสำคัญกับระบบน้ำอุปโภคบริโภค สุขาภิบาลอาหาร การจัดการขยะและสิ่งปฏิกูล ความปลอดภัยของอาคารและโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงสภาพแวดล้อมหลังน้ำท่วม

ทั้งนี้ ทีม SEhRT ได้ประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมในศูนย์เด็กเล็ก สถานศึกษา ศาสนสถาน ตลาด และชุมชนเมือง อาทิ วัดมหัตมังคลาราม (วัดหาดใหญ่ใน) วัดท่าเคียน วัดศรีสว่างวงศ์ (วัดเกาะเสือ) วัดฉื่อฉาง มัสยิดนูดร์ตักวา มัสยิดมะห์มูดียะห์ และมัสยิดอังศอร์ค ซึ่งส่วนใหญ่มีการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดี และชุมชนร่วมแรงทำความสะอาดได้อย่างดี

สำหรับการเฝ้าระวังน้ำประปา พบว่าคุณภาพน้ำมีคลอรีนอิสระคงเหลือ 0.5–1.0 ppm ทีม SEhRT จึงได้ให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงคุณภาพน้ำและการใช้คลอรีนฆ่าเชื้อ พร้อมรับทราบความต้องการยาสามัญประจำบ้านและเวชภัณฑ์พื้นฐานของประชาชน

นพ.นเรศฤทธิ์ ขัดธะสีมา รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า เพื่อคืนพื้นที่ปลอดภัยให้ชาวหาดใหญ่ ทีม SEhRT ยังคงเดินหน้าส่งเสริมสุขภาพประชาชนและให้คำแนะนำด้านสุขภาพ รวมทั้งสร้างความรอบรู้และสื่อสารความเสี่ยงด้านสุขภาพให้กับครอบครัว ครู ผู้ดูแล และผู้นำชุมชน เพื่อให้สามารถเฝ้าระวังอาการเจ็บป่วยของเด็กปฐมวัยและกลุ่มเปราะบางได้อย่างใกล้ชิด และเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างทันท่วงทีหากพบความผิดปกติ

ส่วนการจัดการของทีม SEhRT ที่ศูนย์พักพิงบริเวณแนวชายแดนไทย–กัมพูชา นพ.นเรศฤทธิ์ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ของทีม SEhRT พบแนวทางเพื่อนำกลับมาพัฒนารูปแบบการปฏิบัติงานของทีม SEhRT อาทิ การเฝ้าระวังคุณภาพน้ำในศูนย์พักพิง ซึ่งต้องเร่งสื่อสารให้ความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานน้ำที่สะอาดปลอดภัย วิธีการปรับปรุงน้ำใช้ในภาวะฉุกเฉิน ขณะที่ปัญหาขยะจากน้ำท่วมในภาคใต้ยังสะท้อนถึงความจำเป็นของการจัดการและคัดแยกขยะ เพื่อลดแหล่งเพาะโรค กลิ่น และแมลง รวมถึงต่อยอดไปสู่การลดการใช้พลาสติก ตลอดจนการปฏิบัติหน้าที่ในศูนย์พักพิงอย่างใกล้ชิด

โดยเน้นการควบคุมสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมและการป้องกันโรคเป็นอันดับแรก รวมถึงความปลอดภัยของน้ำดื่มน้ำใช้ การจัดการขยะและสิ่งปฏิกูล การสุขาภิบาลอาหาร การป้องกันสัตว์และแมลงนำโรค และการเฝ้าระวังโรคติดเชื้อที่เกิดจากน้ำและอาหาร พร้อมทั้งสนับสนุนสิ่งของและอุปกรณ์สุขาภิบาลที่จำเป็น เช่น ชุด V-Clean คลอรีนฆ่าเชื้อ ชุด Sanitation Tool Kit หน้ากากอนามัย และสบู่ล้างมือ รวมถึงให้ความรู้ด้านสุขภาพอนามัยแก่ประชาชนเพื่อป้องกันโรคระบาดที่อาจเกิดขึ้น

พญ.นงนุช ภัทรอนันตนพ รองอธิบดีกรมอนามัย ย้ำถึงการให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้พิการ และผู้ป่วยโรคเรื้อรังในศูนย์พักพิงที่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพ ว่าได้มีการวางระบบคัดกรองและขึ้นทะเบียนตั้งแต่แรกเข้า การดูแลด้านโภชนาการและสุขาภิบาล ตลอดจนการเฝ้าระวังสุขภาพหญิงตั้งครรภ์ โดยนำระบบ Triage (สีเขียว–เหลือง–ส้ม–แดง) มาใช้ในการคัดกรองความเสี่ยง

ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการคลอดก่อนกำหนดจากภาวะความเครียด และจัดระบบการส่งต่อในกรณีฉุกเฉิน รวมถึงการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ตลอดจนการดูแลด้านสุขภาพจิตของประชาชนอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ยังเป็นโอกาสในการยกระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ของประชาชน ให้สามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน และมีคุณภาพชีวิตที่ดี นำไปสู่ “ชุมชนที่เข้มแข็งและยืดหยุ่นต่อวิกฤต” (Community Resilience) พร้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินในอนาคต