ช่วงนี้เข้าสู่ฤดูหนาว “ฝุ่น PM 2.5” กำลังกลับมาเยือนไทยอีกครั้ง คนไทยทุกวัยมองข้ามไปไม่ได้ เพราะฝุ่นเหล่านี้มีอนุภาคขนาดเล็กมาก ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หาได้รับผ่านทางการหายใจอาจส่งผลให้เกิดอาการแพ้ตามมาได้ โดยเฉพาะผู้ที่ป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจ อาจมีอาการรุนแรงมากกว่าคนทั่วไปได้
ขอให้ประชาชนสำรวจปัจจัยเสี่ยงของการได้รับฝุ่น PM 2.5 ดังนี้
1. ตำแหน่งหรือสถานที่ที่อยู่ ณ ขณะนั้น หากมีปริมาณฝุ่นสะสมมาก ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงได้
2. ระยะเวลาในการสัมผัสฝุ่น ยิ่งอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน ก็จะได้รับฝุ่นเข้าสู่ร่างกายมากขึ้น
3. กิจกรรมที่ทำการทำงาน หรือออกกำลังกายกลางแจ้ง หากออกแรงมาก ก็จะต้องหายใจรับฝุ่นมากขึ้น
4. ลักษณะเฉพาะบุคคล ผู้มีโรคประจำตัว ภูมิต้านทานต่ำ กลุ่มเสี่ยง เด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ
ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้อาจทำให้เกิดอาการแพ้ฝุ่น PM 2.5 ตามมาผ่านช่องทางต่างๆ ได้แก่
- ตา มีอาการแสบเคือง คันบริเวณดวงตา
- ผิวหนัง ฝุ่นจะทำให้เกิดอาหารคันผิวหนัง มีผื่นขึ้น ลมพิษ
- ทางเดินหายใจ ฝุ่นที่สะสมจะทำให้เกิดน้ำมูก แสบคอ และมีเสมหะ
โดยให้ทุกวัยพร้อมตลอดเวลาสำหรับการรับมือกับฝุ่น PM 2.5 หากต้องออกจากบ้านให้สวมใส่แมสทุกครั้ง พร้อมย้ำเทคนิค “หลีก-ปิด-ใช้-เลี่ยง-ลด” ประกอบด้วย
- หลีก เลี่ยงสัมผัสฝุ่น PM 2.5 และเช็คข้อมูลอากาศผ่าน Air4Thai เพื่อตรวจสอบคุณภาพอากาศ
- ปิด ประตูหน้าต่างให้มิดชิด ทำความสะอาดบ้านสม่ำเสมอ
- ใช้ หน้ากากป้องกันฝุ่น PM 2.5 ที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ
- เลี่ยง ทำกิจกรรมนอกอาคาร หรือออกกำลังกายกลางแจ้ง
- ลด การใช้รถยนต์และการเผาทุกชนิดที่ทำให้เกิดควัน
สำหรับสถานการณ์ค่าฝุ่น ณ วันที่ 3 ธันวาคม เวลา 10.00 น. พบว่า พื้นที่ของ ภาคเหนือ มีค่าฝุ่นสูงมากเป็นพิเศษ เเละพื้นที่บางส่วนของ กรุงเทพฯและปริมณฑล ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตก ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ มีค่าฝุ่นสูง ข้อแนะนำของกลุ่มควบคุมโรคให้กลุ่มเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวงดทำกิจกรรมกลางแจ้ง และสวมหน้ากากป้องกันฝุ่น
สำหรับการปฏิบัติตนตามค่าสีฝุ่น PM 2.5
🔵ทำกิจกรรมได้ตามปกติ
🟢ทำกิจกรรมได้ตามปกติ
🟡เลี่ยงการทำกิจกรรมที่ใช้แรงมาก / สังเกตอาการตนเอง
🟠ลดระยะเวลาการทำกิจกรรมที่ใช้แรงมาก / สวมหน้ากาก / หากมีอาการผิดปกติ ให้รีบพบแพทย์
🔴งดทำกิจกรรมกลางแจ้ง / สวมหน้ากาก / ควรอยู่ในห้องปลอดฝุ่น / หากมีอาการผิดปกติ ให้รีบพบแพทย์
ติดตามค่าฝุ่นได้ที่ http://air4thai.pcd.go.th/
ที่มา : กรมควบคุมโรค